วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปลาปอมปาดัวร์

ปอมปาดัวร์
Discus IZOO 3 LG

นายสงวน วิระยะมนตรี ประธานชมรมปลาปอมปาดัวร์แห่งสยาม กล่าวถึงถินกำเนิดของปอมปาดัวร์ ว่า ต้นกำเนิดของปลาปอมปาดัวร์อยู่ลุ่มแม่น้ำอะเมซอน แถวประเทศบราซิล เปรู เอกวาดอร์ ซึ่งปอมปาดัวร์จะมีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน เมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่แล้วทางเยอรมัน หรืออเมริกาเป็นผู้บุกเบิกนำเข้าไปเลี้ยง เพื่อเป็นปลาสวยงาม ส่วนเมืองไทยนั้นยังไม่ทราบแน่นอนว่าใครนำเข้ามา ทว่าเมื่อประมาณ 50 กว่าปีที่แล้ว ได้มีการนำเข้ามาในประเทศ และมีการพัฒนามาเรื่อยๆ จากเลี้ยงเพื่อเป็นปลาสวยงาม จนกลายเป็นปลาเพื่อการส่งออก
จุดเด่นของปอมปาดัวร์ เป็นปลาที่ไม่ดุร้าย มีมากมายหลายสีสัน สามารถเลี้ยงรวมกับปลาอื่นๆ หรือต้นไม้น้ำได้ ปัจจุบันเป็นปลาที่มีการจัดประกวดหรือแข่งขันระดับอินเตอร์ จนถือว่าเป็นราชินีของปลาสวยงาม เพราะมีหลากหลายสี อีกทั้งปลาปอมปาดัวร์สามารถพัฒนาลวดลายสีสันต่างๆ ไปได้ตลอด นอกจากนี้คนที่มีฐานะจะเลี้ยงไว้เพื่อประดับบารมีอีกด้วย
ราคาเริ่มต้น มีตั้งแต่หลักสิบถึงหลักแสน ซึ่งจะจัดแบ่งตามเกรดและสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พัฒนายากๆ และสินค้ามีน้อยจะมีราคาแพง การเพราะเลี้ยงในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอยู่หลากหลายประเทศ เพราะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะอากาศเหมาะในการเพาะพันธุ์ อีกทั้งมีพื้นที่และศักยภาพที่จะแข่งขันกัน แต่ละประเทศอาจจะมีจุดเด่นเฉพาะของตนเอง บางส่วนเราสู้ไม่ได้จึงต้องมีการซื้อสายพันธุ์อื่นเข้ามาเพื่อพัฒนา ส่วนสายพันธุ์ที่ดีของเราก็มีคนมาขอซื้อเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ต่อเช่นกัน
“ปอมปาดัวร์เป็นปลาที่ไม่ดุร้ายมีมากมายหลายสีสัน สามารถเลี้ยงรวมกับปลาอื่นๆ หรือต้นไม้น้ำได้” กระแสปอมปาดัวร์เริ่มบูมในประเทศไทยเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เพราะกรมประมงกับผู้เลี้ยงทั่วไปได้ร่วมมือกันในการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิมีการจัดประกวด การสัมมนาแล้วส่งเสริมด้านการเพาะขยายพันธุ์ต่างๆ คนจึงเริ่มรู้จักปลาปอมปาดัวร์มากขึ้น
4353674386_49b353690d

มูลค่าตลาดของปอมปาดัวร์เมื่อเทียบกับปลาสวยงามอื่นๆ ปอมปาดัวร์มีสัดส่วนส่งออกถึง 80-90% ของการส่งออกทั้งหมด เพราะฉะนั้นตลาดภายใจจะน้อย จุดด้อยของบ้านเรามองว่า ความรู้ข้อมูลต่างๆ ไม่ได้มีการส่งเสริมอย่างจริงจังเหมือนต่างประเทศเราไม่มีข้อมูลเด่นชัดให้กับผู้ที่ต้องการเลี้ยงจริงๆ คนเลี้ยงปลาเข้าใจว่าปอมปาดัวร์เลี้ยงยากและมีราคาแพง เพราะฉะนั้นปลาที่ทำตามฟาร์มต่างๆ จะทำเพื่อส่งออกมากกว่า ซึ่งน้อยมากที่ขายในตลาดบ้านเราและเป็นปลาเกรดไม่ถึงและราคาถูกหน่อย ลูก 1 ครอก เฉลี่ยประมาณ 100 – 200 ตัวเท่านั้นในจำนวนนี้ทำเป็นการค้าได้ประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนมากถ้าพ่อแม่สวยลูกก็มักออกมาสวยสูงมาก แต่ก็ไม่เสมอไปบางครั้งมีเชื้อปูยาตายายสู่รุ่นหลายด้วย
ปลาปอมปาดัวร์อาจจะเป็นปลาไวต่อความรู้สึกมากกว่าปลาอื่นๆ คือมีความรู้สึกรับความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิกับน้ำได้เร็ว ดังนั้นอุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ 25-28 องศาเซลเซียส ส่วนลูกปลาอยู่ที่ประมาณ 28-32 องศาเซลเซียส ด้านอุปนิสัย เป็นปลาสง่างาม ว่ายแล้วไม่ดุร้าย หลากหลายสี อยู่เป็นฝูง ส่วนเรื่องนี้ตกใจขึ้นอยู่กับคนเลี้ยงมากกว่า
โรคของปอมป์ เหมือนปลาทั่วๆ ไปคือ หนอนสมอ ปลิงใส แบคทีเรียภายนอกและภายใน พยาธิลำไส้ใบไม้ แบคทีเรียภายนอกและภายใน พยาธิลำไส้ใบไม้ตัวกลม การป้องกันและรักษา ปัจจุบันนี้ไม่ยากเหมือนสมัยก่อนๆ เพราะมีหน่วยงานราชการหลายแห่งที่เกษตรกรสามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือได้เอกชนก็ผลิตยาออกมาสนองความต้องการของผู้บริโภคส่วนโรคใหม่ๆ ไม่ค่อยมี เพราะเกษตรกรมีการกักกันโรคประมาณ 7 วันแต่ปัญหาอยู่ที่ภาครัฐไม่มีหน่วยงานด้านกักกันโรคปลา เมื่อมีปลาการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงอยู่เหมือนกัน ส่วนในต่างประเทศเมื่อมีการนำเข้าปลาจากไทยก็จะมีการกักกันโรค แต่ประเทศไทยทำแล้วก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะไม่มีการถ่ายน้ำทำให้ปลาตายหมดได้
สายพันธุ์ที่นิยม อย่างที่บอกว่าปอมปาดัวร์มีหลายสายพันธุ์ เช่นมาเลเซียมีเสือดาวจุดแดง บ้านเรามีสีทอง สีแดง ลายงูสีแดงและยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมา ส่วนการประชาสัมพันธ์ปลาก็คืองานออกบูธ งานประกวดต่างๆ ผู้บริโภครู้จักว่าปลาปอมปาดัวร์ของไทยมีชื่อเสียงมีคุณภาพ แต่ไม่ได้ราคาเพราะบ้านเราคนทำคือเกษตรกรไม่ใช้นักการตลาด

ที่มาhttp://articlescool.org/%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%8C/

ปลานกแก้ว



ปลาหมอนกแก้ว (ชื่อวิทยาศาสตร์ Amphilophus citrinellum x Vieja synspila) เป็นพันธุ์ลูกผสมระหว่างปลาหมอฟลามิงโก้ และปลาหมอซินสไปลุ่ม มีปากคล้ายกับนกแก้ว กำเนิดในประเทศไต้หวัน ขนาดโตเต็มที่ 10 – 15 เซนติเมตร มีดวงตาโต ม่านตาใหญ่จนบางคราวดูไม่เหมือนทรงกลม เป็นวงรีหรือไม่ก็เป็นขีด ดำๆ หนาๆ พาด ผ่านตามแนวนอนของ ลูกตา ตู้ที่เหมาะสม ไม่ควรต่ำกว่า 30 นิ้ว เป็น ปลาที่ค่อนข้าง ก้าวร้าว อันที่จริง เป็นปลาที่ไม่ค่อยดุนัก และสามารถเลี้ยงรวมกับปลาอื่นที่ ขนาดเท่ากันได้ สามารถให้อาหารสำเร็จรูปและสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นอาหารได้

        ถ้าเป็นแค่ปลาหมอหลายท่านคงจะบอกว่ามันเหมาะที่จะทำเป็นอาหารมากกว่า แต่พอมีคำว่า นกแก้วพ่วงเข้ามาด้วย คงต้องเปลี่ยนจากอยู่ในครัวมาอยู่ในตู้ปลาสวยงามแทนน่าจะดีกว่า เพราะปลาหมอนกแก้วมีความสวยงามน่ารัก ไม่แพ้ปลาสวยงามชนิดอื่นเลย ถ้าได้เลี้ยงหลายๆตัวหลายสีรวมกันก็ยิ่งทำให้ตู้ปลามีสีสันมากยิ่งขึ้น ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวบึงฉวาก จ.สุพรรณบุรี ถ้าสังเกตไม่ดีจะเข้าใจผิดได้นะครับ เอ๊ะ ฝูงนกแก้วบินหลงมาจากไหนเยอะแยะเลย แต่ที่ไหนได้ฝูงปลานกแก้วนั่นเอง สวยงามมาก ถ้าหากว่าใครต้องการชมความสวยงามของปลานานาชนิด เมืองไทยเรามีหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นบึงฉวากหรือที่อื่นๆ ไม่ต้องไปถึงต่างประเทศเที่ยวเมืองไทยครื้นเครง เศรษฐกิจไทยคึกคัก เรามาทำความรู้จักกับปลาหมอนกแก้วกันดีกว่านะครับว่ามันจะน่ารักน่าเลี้ยงขนาดไหน

        ปลาหมอนนกแก้วที่มีส่วนโค้ง มันรับกับส่วนหลังไม่หักชัน เหมือนปลาหมอนกแก้วทั่วไปปากเป็นรูปปกติเหมือนเรดเดวิล เรียกปลาหมอคิงคองบลัคแพรอท

        สำหรับปลานกแก้วมีลักษณะเด่นอยู่หลายจุด เช่น ลำตัว ปาก หาง และสีสันของตัวปลา แต่ลักษณะที่เด่นจริงๆ จะอยู่ที่ลำตัว คือ ตัวกลม แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะหาปลานกแก้วที่สมบูรณ์จริงๆ ตามตำรานั้นค่อนข้างจะหายาก ส่วนมากจะผิดเพี้ยนจากเดิมแต่ก็ไม่มากนัก

        ส่วนการตัดหางนั้นเป็นการทำให้ปลานกแก้วดูดีขึ้นและน่ารักขึ้น โดยส่วนใหญ่เรียกปลานกแก้วที่ถูกตัดหางออกไปเรียกว่า “นกแก้วเลิฟ” โดยจะถูกตัดหางเป็นรูปหัวใจ การตัดหางนั้นจะตัดเมื่อปลามีขนาดตั้งแต่ 1 นิ้ว เพื่อลดการสูญเสียโดยนกแก้วเลิฟจะมีราคาแพงกว่านกแก้วธรรมดา ลักษณะเด่นสุดท้ายของปลาหมอนกแก้วคงหนีไม่พ้นเรื่องสี ปลานกแก้วที่มีขายในท้องตลาดจะมีสีแดงสดเนื่องจากถูกฉีดสี การฉีดสีจะทำตั้งแต่ปลามีขนาด 1 นิ้ว โดยการนำสีผสมอาหารมาฉีด การฉีดมักจะฉีดใส่ส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อตรงกระโดงของปลา

        เทคนิคในการเลี้ยงปลาหมอนกแก้ว การจัดตู้ปลานั้นเราควรใส่กรวดเล็กๆไว้เพราะปลาหมอนกแก้วมีปากที่ใหญ่เหมาะกับการดูดก้อนกรวด มันจะขุดกรวดเล็กๆที่เราจัดไว้เป็นหลุมเพื่อคลายเครียด ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องจัดตู้ให้สวยมากนัก จัดเพียงแค่สิ่งต่างๆที่มันขุดไม่ได้เท่านั้น ช่วงเวลาว่างๆเราควรจะเข้าไปดูใกล้ๆบ้าง เพราะช่วงแรกๆมันจะขี้อายและกลัวคนมากจนไปหลบอยู่หลังตู้บ่อยๆ แต่พอเราเข้าไปดูนานๆบ่อยๆ แต่พอเราเข้าไปดูนานๆบ่อยๆมันจะเชื่องและชอบเข้าหาคนเวลาเดินผ่านมันจะตามมาทันที

        การเพาะพันธุ์ การสังเกตเพศของปลาหมอนกแก้ว ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่า ชายครีบยาวกว่า การเพาะพันธุ์ส่วนมากปลาหมอนกแก้วจะเป็นหมัน โดยเฉพาะตัวผู้อันเป็นผลมาจากการย้อมสีปลา ปลาจะจับคู่และวางไข่ติดกับก้อนหินแต่จะไม่ฟักเป็นตัวสำหรับปลาที่ไม่ย้อมสีจะสามารถให้ลูกได้ การจับคู่ผสมพันธุ์จะทำกันเองในตู้ เป็นปลาที่วางไข่ได้ง่ายและครั้งละปริมาณมากๆ ค่า pH ประมาณ 6.6-6.8 จะเหมาะแก่การฟักไข่ ถ้า pH สูงเกินไปจะทำให้ผิวของไข่เหนียวจนลูกปลาไม่สามารถเจาะทะลุออกมาได้และถ้าน้ำมี pH ต่ำเกินไปความเป็นกรดจะทำลายสเปิร์มของปลาตัวผู้ จนทำให้การปฏิสนธิ ลูกปลาฟักเป็นตัวใหม่ๆ ยังไม่กลมเหมือนพ่อแม่ ช่วงแรกปล่อยให้ครอบครัวดูแลตัวเองพ่อแม่ลูก จนลูกปลาว่ายน้ำและออกหากินเองได้ จึงค่อยแยกออกมาเลี้ยงต่างหาก ช่วงปลายังเล็กควรให้อาหารสด เช่น ไรแดง ใส้เดือนฝอยบ่อยๆแต่ไม่ควรให้ครั้งละมากเกินไป

        อาหาร อาหารของปลาหมอนกแก้วที่นิยมให้กันทั่วไปเป็นจำพวกอาหารเม็ด เพราะสะดวกการซื้อหาก็มีวางขายกันทั่วไป สิ่งที่ต้องระวังในการให้อาหารประเภทนี้คือ ต้องไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด หรือยาฆ่าแมลงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะจะเป็นอันตรายกับปลาที่คุณเลี้ยงได้ ปริมาณให้อาหารไม่ควรให้เกินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่มากจนเกินไป

        โรค โรคที่พบบ่อย ส่วนใหญ่จะเป็นโรคจุดขาวซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างกะทันหัน ประกอบกับปลามีภูมิต้านทานที่ลดลง ป้องกันได้โดยการควบคุมอุณหภูมิของน้ำไม่ให้มีการแกว่งตัวมากเกินไป หากอยู่ในช่วงอากาศเย็นควรติดฮีทเตอร์ช่วยควบคุมอุณหภูมิน้ำ เป็นยังไงบ้างครับ เลี้ยงปลาหมอนกแก้วตัวเดียวหรือหลายๆตัวในตู้เสมือนคุณได้ทั้งเลี้ยงนกและเลี้ยงปลาอยู่ในตู้เดียวกัน อย่างนี้ถือว่าสุดคุ้ม ลองเลี้ยงดูนะครับความสวยและน่ารักของปลาชนิดนี้รับรองว่า ความสุขและความเพลิดเพลินเป็นของคุณอย่างแน่นอนเลี้ยงไม่ยาก ราคาก็พอหาซื้อกันได้ การเลี้ยงปลาถ้าเราเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี ปัญหาต่างๆอื่นโดยเฉพาะเรื่องโรคก็ไม่ต้องกังวลอีกเลย

ที่มาhttps://sites.google.com/a/email.nu.ac.th/jutamart-hongorn/pla-nk-kaew

ปลามังกร



สำหรับการดูแลนั้น บอกได้เลยว่าขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคลครับ เพราะในความเป็นจริงแล้วข้อมูลที่เราได้อ่านและศึกษามาอย่างดี ในความเป็นจริงบางอย่างเข้าก็ไม่ได้ทำกันตามนั้นเสมอไปหรือบางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกหรือพิจารณาขั้นตอนใด ๆ อย่างน้อยจะต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานเอาไว้พอสมควร ซึ่งข้อมูลที่อยู่บนพื้นฐานของวิธีการดูแลปลาอะโรวาน่านั้น ข้อกำหนดเป็นขั้นพื้นฐานเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเลี้ยงพันธุ์ไหนหรือขนาดเท่าไร ดังนั้นผมอยากให้เพื่อน ๆ มาลองดูการเลี้ยงทั่วไปดูคร่าว ๆกันหน่อยนะครับ

ตู้เลี้ยงและอุปกรณ์ตกแต่ง
·   ขนาดของตู้นั้น อย่างน้อยต้องมีความยาว 3-4 เท่าของตัวปลาเป็นอย่างน้อย แต่ในความเป็นจริงที่เลี้ยงกันสวย ๆ ก็ 10 เท่าของตัวปลาไปเลยครับ หรือถ้าคิดจะเลี้ยงไปจนโตเลยนั้น ผมแนะนนำขนาดที่ 84 36 30 ครับ แต่บางท่านอาจจะลงสัก 72 36 30 อันนี้ก็ไม่ว่ากัน ขอให้พิจารณาที่ความกว้างเป็นหลักนะครับที่ 36 ส่วนตู้ที่มีขนาดน้อยกว่านี้นั้นสามารถเลี้ยงได้แทบทั้งสิ้นครับ เพียงแต่ว่าเมื่อใดที่เค้าโตขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว ไม่ช้าเราก็ต้องเปลี่ยนตุ้อยู่ดีครับ  บอกได้เลยครับว่า ยิ่งขนาดตู้ใหญ่และกว้างเท่าใดก็เป็นการดีกับปลาของเรามากเท่านั้นครับ
·   อุปกรณ์ตกแต่งต่าง ๆ ประเภทขอนไม้หรือก้อนหินรวมไปถึงไม้น้ำต่าง ๆ ซึ่งหลาย ๆ ตำรานั้นเน้นให้เห็นถึงอันตรายต่อตัวปลาในลักษณะที่อาจจะเป็นสิ่งกีดขวางในกรณีที่ปลาตกใจ เป็นผลให้เกิดการบาดเจ็บตามมา ซึ่งผมก็เห็นจริงตามนั้น แต่สิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำลงไปมากกว่าก็คือ พวกสิ่งกีดขวางหรือของตกแต่งเหล่านี้ทำให้เราดูแลรักษาน้ำได้ลำบาก โดยเฉพาะหินกรวดไม้น้ำรวมไปถึงขอนไม้ที่มีขนาดใหญ่ครับ วันหนึ่งถ้าน้ำเสียขึ้นมา ปลาเป็นโรคจะปวดหัวกันมากกว่ารอยขีดข่วนหรือเกล็ดหลุดหลายเท่าครับ แต่ถ่าจะมีไว้ก็มิได้นำพาครับ แต่ขอให้เน้นกันเรื่องเรื่องการทำความสะอาดที่ดีก็แล้วกันครับ จะเห็นได้ว่าตู้โล่งนั้นน้ำสะอาดและทำความสะอาดได้ง่ายกว่าขนาดไหน เอาไปตรองกันดูครับ

ในกรณีที่ต้องการจะมีหินหรือไม้น้ำบ้างลงไปนั้น อย่าลืมที่จะลบเหลี่ยมหรืออะไรก็ตามที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการว่ายน้ำของปลามากนัก อาจจะมีพองามไม่ถึงขนาดแน่นตู้จนเกินไปครับ

คุณภาพน้ำ
·   จากการได้คุยกับร้านค้าต่าง ๆ มากมายที่ได้มีการโทรเข้ามาถามถึงอาการป่วยของปลานั้น ยังมีผู้เลี้ยงจำนวนมากที่อาจจะมองข้ามคุณภาพน้ำไปในกรณีที่ปลาป่วย บางท่านถึงขนาดเพิ่มวัสดุกรอง เพิ่มขนาดของกรอง ใส่เกลือหรือแม้แต่เพิ่มเติมหลอด UV แต่อาการป่วยของปลาก็ไม่ได้หายไปเพียงเพราะผู้เลี้ยงเหล่านั้นไม่ได้ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างถูกต้องในช่วงเวลาที่ปลาป่วยนั่นเอง ปลาบางตัวอาจจะมีอาการซึมไม่กินอาหาร อดอาหารแล้วก็ไม่ได้ผล ลืมไปเสียสนิทเลยว่า แค่เปลี่ยนน้ำใหม่ลงไปจะช่วยให้ปลามีความสดชื่น กินอาหารง่ายและโตเร็วมากเลยนะครับ สภาพของน้ำจะต้องไม่มีของเสียหรือสารเคมีเจือปนโดยเฉพาะคลอรีน วึ่งเราทราบกันดีถึงขั้นตอนการพักน้ำและการใส่น้ำยาปรับสภาพน้ำตามสมควร อย่าลืมนะครับ PH7 นั้นคือค่ากลาง หรือหมายถึงค่าดีที่สุดที่จะใช้เลี้ยงมังกรครับ เพราะการที่มีค่าน้ำเป้นกลางที่สุด เมื่อใดที่มีการแกว่งของน้ำปลาจะสามารถรับสภาพได้ดีกว่าปลาที่เลี้ยงใน PH ที่ต่ำหรือสูง ถ้าแกว่งขึ้นมาจะรับสภาพไม่ค่อยจะได้ครับ
·   อุณหภูมิของน้ำ มีคำถามมากมายถึงอุณหภูมิที่ดีที่สุดของการเลี้ยงปลามังกร บ้างก็บอกว่า 30 ใช้รักษาโรค บ้างก็บอกว่า 29 สำหรับปลาทอง 27 สำหรับปลาแดง มันเป็นสูตร ทำให้ต้องเพิ่มเติมอุปกรณ์ลดความร้อนกันมากมายอาธิเช่น ฝาตะแกรง พัดลมหรืออาจจะลงทุนถึงขนาดติดเครื่องทำความเย็นกันเลยทีเดียว เอ แต่ปลาที่ฟาร์มหรือที่ร้านค้าต่าง ๆ อุณหภูมิปาเข้าไปตั้ง 35-36 ทำไมปลายังอยู่ได้ล่ะครับ เรื่องนี้ผมไม่อยากฟันธงให้เมื่อย แต่อยากให้เราลองมองไปที่อุณหภูมิบ้านเรานั้น อยู่ที่ 35 องศา ดังนั้น อุณหภูมิของน้ำจะอยู่ที่ 30 องศา (น้อยกว่าอุณหภูมิภายนอกอยู่ 5) เมื่อไหร่ที่อากาศร้อนขึ้น ทำให้อุณหภูมิเพิ่มจาก 30 เป็น 32 กันถ้วนหน้า แล้วลองมองกลับไปที่ประเทศอิโดนีเซียกันหน่อย อุณหภูมิบ้านเขาอยู่ที่ 30 นั้นหมายความว่า อุณหภูมิน้ำของเข้านั้น แค่ 25-26 เท่านั้น หรือแม้แต่ออสเตรเลีย ปลาที่นั้นเขาเลี้ยงกันที่ 27 องศาครับเนื่องจากเป็นประเทศอากาศเย็นสบาย  ดังนั้นอยากจะบอกแค่ว่า อุณหภูมิไม่ใช่สูตรสำเร็จอย่างเดียวในการที่จะประสพความสำเร็จนะครับ อย่าเพิ่งไปปวดหัวกับความร้อนกันมากจนเกินไปครับ เพราะในความเป็นจริง อากาศที่อยู่ระหว่าง 25-35 นั้นถือว่าเลี้ยงได้ ถ้าน้อยไปหรือสูงไปอาจจะต้องมีการดูแลอย่างอื่นเข้ามาชดเชย ดังนั้นเดินทางสายกลางที่ 28-32 ก็ไม่เลวใช่ไหมครับ
·   สูตรของการเปลี่ยนน้ำมีมากมาย ผู้เลี้ยงบางท่านถึงกับต้องจดวันเวลาและจำนวนเอาไว้กันลืม เช่น วันนี้เปลี่ยน 20% ต้องรอไปอีก 3 วัน 7 วันหรือ วันเว้นวันก็ตาม แต่สิ่งที่ผมอยากจะให้ทำกันก่อนที่เราจะเปลี่ยนน้ำนนั้น อยากให้เราดูสภาพของตู้เราเองก่อนสักนิดหนึ่งว่า ระบบกรองเป็นอย่างไร จำนวนปลามากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงขนาดของปลาและของปริมาณของเสียต่อวัน เพราะสูตรการเปลี่ยนน้ำที่ดีที่สุดก็ไม่อาจจะใช้กับตู้ที่มีปลาหนาแน่นและของเสียมากจนเกินไปได้ ส่วนตู้ที่มีระบบกรองที่ดี ระบบโอเวอร์โฟลว์ ถ้าเลี้ยงปลาตัวเดียวแล้วเขาจะไม่เปลี่ยนน้ำเลยเป็นเวลา 1 เดือนนั้นก็ไม่ผิดอะไร ถ้าน้ำในตู้นั้นยังมีการหมุนเวียนและขจัดของเสียได้ดี ฉะนั้นผมไม่อยากที่จะให้เพื่อน ๆ มานั่งจำสูตรการเปลี่ยนน้ำ แต่อยากจะให้ลองสังเกตุสภาพน้ำในตู้ด้วยตามากกว่าครับ แล้วเราจะสามารถพบกับสูตรที่ลงตัวที่สุดสำหรับตู้ของเราเองนั่นเอง แต่อย่างน้อยหนึ่งในสามของน้ำต้องเปลี่ยน 3 ครั้งทุกๆ 2 สัปดาห์ แม้ว่าหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ยิ่งดี ขึ้นอยู่กับการให้อาหารของเรา สูตรนี้ก็ยังใช้กันได้ดีมาตลอดครับ
- รูป -

อาหารและการให้อาหาร
  โดยปกติการให้อาหารปลามังกรนั้นจะเน้นที่อาหารสดไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เอาเป็นว่าอาหารสดนั้นเน้นจำพวกโปรตีนสูงไว้ก่อน โดยเฉพาะที่ช่วงเวลาที่ปลามีขนาดเล็กอยู่ อาหารประเภทโปรตีนจะทำให้ปลามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมาได้รวดเร็วมาก ประมาณ 2 เดือนต่อ 3 นิ้ว ซึ่งเราสามารถให้อาหารปลาได้ 2-3 ครั้งต่อวันไปพร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ 10% ของทุกวันนั่นเอง ในปลาที่มีขนาดใหญ่แล้วสามารถลดจำนวนการให้อาหารได้เช้าเย็นหรืออาจจะวันละครั้งก็ได้ครับ เพราะปลาที่มีขนาดใหญ่จะกินอาหารน้อยและใช้เวลาในการย่อยอาหารนานกว่าครับ ส่วนตัวผมอาจจะให้อาหารได้บ่อยหน่อยในช่วงที่อยู่บ้าน แล้วเช้าเย็นสำหรับวันที่ต้องออกไปทำงาน แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ถ้าให้อาหารถี่ในแต่ละวันก็ไม่ควรที่จะให้จำนวนที่มากจนเกินไป อาจจะให้แค่ไม่กี่คำต่อมื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานหนักของกระเพาะอาหาร และควรเว้นระยะเวลาสำหรับมื้อต่อไปสักหน่อยเพื่อให้มีการพักผ่อนและกระตือรือล้นในการหาอาหารของเขาครับ
อาหารที่ผมเน้นที่จะให้เขาก็คือพวกโปรตีนสูงประเภท กุ้งฝอย กุ้งขาวแช่แข็งรวมไปถึงจิ้งหรีด เนื้อปลาและหนอนนกในบางกรณีครับ เพื่อที่เขาจะได้รับสารอาหารที่หลากหลาย ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงดีกว่าการให้อาหารที่จำเจ เพราะปลาจะมีอาการเบื่ออาหารและกินได้น้อยลงครับ
การให้อาหารที่มีโปรตีนและไขมันสูงโดยทั่วไปจะต้องมีการเปลี่ยนน้ำที่ต้องทำเพื่อลดมลพิษในน้ำอย่างรวดเร็วครับ

การรักษาอาการป่วยเบื้องต้น
ในกรณีที่ปลาเริ่มซึมและไม่กินอาหาร โดยปกติถ้ายังไม่มีการติดเชื้อร้ายแรง ตัวปลาจะมีภูมิต้านทานอยู่ในตัวเองซึ่งสามารถที่จะรักษาและหายเองได้โดยธรรมชาติอยู่แล้วครับ เราแค่เพิ่มเติมโดยการเพิ่มอุณหภูมิให้ได้ 30 องศาและต้องรักษาระดับอุณหภูมิให้ดี อาจจะต้องใส่เกลือลงไป 1 2 หรือ 3 % ตามสมควร

ที่มาhttp://www.arowanastation.com/main.php?url=view&room=3&id=76

ปลาคราฟ

ปลาคาร์พ หรือปลาแฟนซีคาร์พ (Fancy Carp) นับเป็นปลาที่สวยงามชนิดหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมันเป็นสัตว์เลี้ยงง่าย โตไว อีกทั้งยังมีสีสันสวยงามอีกด้วย และเป็นปลาที่มีอายุยืนที่สุดในโลก  เช่น  ปลาคาร์พ ชื่อ "ฮานาโกะ" ของนายแพทย์ผู้หนึ่ง ที่ เมืองกูฟี ประเทศญี่ปุ่น มีอายุยืนถึง 266 ปี

           ทั้งนี้ ปลาคาร์พ จัดอยู่ในประเภทปลาน้ำจืดกลุ่มปลาตะเพียน (Carp) ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า โต่ย (Koi) นิชิกิกอย (Nichikigoi) มีต้นกำเนิดมาจากปลาไนธรรมดา ซึ่งพบในแหล่งน้ำจืดต่างๆ ทั่วโลก สำหรับถิ่นกำเนิดที่แท้จริงก็คือ ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน แต่ชาวจีนเป็นกลุ่มแรกที่ได้ศึกษาเรื่องปลาไนมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว 

           ส่วนประเทศญี่ปุ่นได้ศึกษาเกี่ยวกับปลาคาร์พ เมื่อประมาณ 200 ปี หลังคริสต์ศตวรรษ โดยกล่าวถึงปลาชนิดนี้ว่ามีสีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน ซึ่งชาวญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงไว้ดูเล่น และได้พัฒนาสายพันธุ์ดั้งเดิมของปลาไน ให้เป็นปลาสวยงาม มีสีสันและรูปร่างที่สวยงามขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน โดยเรียกว่า ปลาคาร์ฟ หรือ แฟนซีคาร์ฟ โดยมีแหล่งหรือศูนย์กลางการเพาะเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ฟ บริเวณเขาแถบเมืองโอจิยะ จังหวัดนิอิกาตะ และเมืองฮิโรชิมา 

           สำหรับประเทศไทยได้เริ่มนำเข้าปลาคาร์ฟเมื่อปี พ.ศ.2493 โดยการนำมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการซื้อขายในราคาที่ค่อนข้างสูง ในปี พ.ศ.2498 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ทรง สั่งปลาชนิดนี้มาจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์และตั้งชื่อปลาแฟนซีคาร์ฟนี้ว่า ปลาอมรินทร์ หรือบางทีก็เรียกว่า ปลาไนทรงเครื่อง ซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า นิชิกิกอย (Nichikigoi) 

 ประเภทของปลาคาร์พ

           ปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาแฟนซีคาร์พขึ้นใหม่ในเชิงการค้าทั้งหมด 13 สายพันธุ์หลัก โดยแบ่งแยกตามลักษณะของลวดลายและสีสันบนตัวปลา ได้แก่

           1. โคฮากุ (Kohoku) เป็นปลาที่มีลายขาวและแดง เป็นสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุด ลักษณะที่ดีสีแดงจะต้องคมชัดสม่ำเสมอ และสีขาวไม่ควรมีตำหนิใดๆ
    
           2. ไทโช ซันเก้ (Taisho Sanke) ประกอบ ด้วย 3 สีด้วยกัน คือ ขาว แดง และดำ สีดำบนตัวปลานั้นควรดำสนิท และดวงใหญ่ ไม่ควรมีสีดำบนส่วนหัว รวมทั้งไม่มีสีแดงบนครีบและหาง
    
           3. โชวา ซันโชกุ (Showa Sanshoku) เป็น แฟนซี คาร์พสามสี เช่นเดียวกับไทโช ซันเก้ ที่แตกต่างกันก็คือ สีขาวและแดงจะรวมตัวอยู่บนพื้นสีดำขนาดใหญ่ และมีสีดำบริเวณเชื่อมต่อครีบ และลำตัวในลักษณะของตัว Y
    
           4. อุจิริ โมโน (Utsuri Mono) เป็นแฟนซีคาร์พ ที่มีสีดำพาดผ่านบนพื้นสีอื่น โดยสีดำที่ปรากฏจะเป็นรอยปื้นยาวพาดบนตัวปลา
    
           5. เบคโกะ (Bekko) เป็นแฟนซี คาร์พ ที่มีสองสี โดยมีลวดลายเป็นจุดดำแต้มอยู่บนพื้นสีต่างๆ ในขนาดที่ไม่เล็ก หรือใหญ่เกินไป
    
           6. อาซากิ ชูซุย (Asagi Shusui) อาซากิ ชูซุย เป็นสายพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาจากปลาไนโดยตรง จะมีเกล็ดสีฟ้าสวยเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
    
           7. โกโรโมะ (Koromo) เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างอาซากิกับสายพันธุ์อื่นๆ โดยจะมีเกล็ดสีน้ำเงินกระจายเด่นอยู่บนลวดลาย
    
           8. โอกอน (Ogon) เป็นปลาที่ไม่มีลวดลาย โดยจะมีสีลำตัวสว่างไสว ปราศจากจุดด่างใดๆ
    
           9. ฮิการิ โมโย (Hikari Moyo) เป็นปลาที่มี 2 สี หรือมากกว่า โดยจะมีอย่างน้อยหนึ่งสีที่แวววาวดุจโลหะ (Metallic)
    
           10.ฮิการิ อุจิริ (Hikari Utsuri) เป็นปลาที่มีลาดยพาดสีดำเช่นเดียวกับ อุจิริ โมโน บนพื้นที่มีความแวววาวคล้ายโลหะ
    
           11. คินกินริน (Kinginrin) เป็นปลาที่อยู่ในกลุ่มที่มีประกายเงินหรือทองอยู่บนเกล็ด โดยเกล็ดจะดูนูนเหมือนไข่มุก
    
           12. ตันโจ (Tancho)  เป็นปลาที่มีสีแดงเพียงที่เดียวอยู่บนหัว โดยอาจมีรูปทรงกลมขนาดใหญ่ หรือรูปอื่นๆก็ได้
    
           13. คาวาริ โมโน (Kawari Mono) เป็นปลาที่ไม่มีลักษณะลวดลายที่ตายตัว ต่างจากพันธุ์อื่นๆ โดยจะมีลวดลายเกิดขึ้นใหม่ทุกปี

 การเริ่มต้นเลี้ยงปลาคาร์พ

           ใครที่ตัดสินใจจะเลี้ยงปลาคารพ์ ควรเริ่มต้นด้วยการขุดบ่อขนาด 80 x 120 ลึก 50 เซนติเมตร มีสะดือที่ก้นบ่อขนาด 1 x 2 ฟุต ลึกประมาณ 4-6 นิ้ว เพื่อไว้เป็นที่เก็บขี้ปลาและสิ่งสกปรก และติดตั้งระบบถ่ายเทน้ำเสียเพื่อช่วยให้น้ำในบ่อสะอาดอยู่ตลอดเวลาด้วย สำหรับบ่อที่จะใช้เลี้ยงปลาคาร์ฟ ควรเป็นบ่อซีเมนต์เพราะสามารถดัดแปลงเป็นบ่อธรรมชาติได้ง่าย มีตะใคร่น้ำเกิดและเกาะได้เร็ว ซึ่งตะใคร่น้ำนั้นจะเป็นอาหารที่ดีของปลาและสามารถดูดสิ่งสกปรหและแอมโมเนียที่อยู่ในน้ำได้อีกด้วย 

           และบ่อนี้ควรจะตั้งอยู่ในที่มีร่มเงาต้นไม้ใหญ่ได้ร่มรื่นพอควร อย่าให้อยู่กลางแจ้งเพราะจะทำให้ปลามีสัสันที่จืดจางลง และยังโตช้าลงไปอีกด้วย

           ส่วนน้ำที่จะใช้เลี้ยงปลาคาร์พ เป็นน้ำประปาจะดีกว่าน้ำชนิดอื่น เพราะน้ำประปามีสภาพเป็นกลาง ถ้าใช้น้ำฝนจะทำลายสีของปลาและปลาอาจเกิดโรคได้ง่าย ส่วนน้ำจากแม่น้ำลำคลองก็ไม่เหมาะ เพราะอาจมีเชื้อโรคติดมาเป็นอันตรายกับปลาได้ หากไม่มีน้ำประปา ต้องใส่ยาฆ่าเชื้อและเติมปูนขาวเพื่อปรับสภาพน้ำจากกรดให้เป็นกลางเสียก่อน แล้วค่อยนำมาเลี้ยงปลาได้    ทางที่ดีต้องติดตั้งระบบหมุนเวียนของน้ำ และเครื่องพ่นน้ำ เป็นการเพิ่มออกซิเจนให้น้ำในบ่อถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา และมีออกซิเจนเพียงพอกับปลาด้วย

           เมื่อเตรียมบ่อและน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การจะหาปลาคาร์ฟมาเลี้ยง ควรหาลูกปลาที่มีอายุ 1-2 ปี มาเลี้ยง ไม่ควรจะนำปลาขนาดใหญ่มาเลี้ยง และปลาชนิดอื่นหากไม่จำเป็นไม่ควรนำมาเลี้ยงรวมกับปลาคาร์ฟ เพราะอาจนำเชื้อโรคมาให้ปลาคาร์ฟได้

 อาหารและการเลี้ยงดู

           ผู้เลี้ยงควรให้อาหารไม่เกินวันละ 2 เวลา คือเช้ากับเย็น ข้อควรจำในการให้อาหารคือ ต้องให้ตามเวลา เพื่อปลาจะเกิดความเคยชินและเชื่องกับผู้ที่เลี้ยง และอาหารที่ให้ต้องกะให้พอกับจำนวนปลา อย่าให้น้อยหรือมากเกินไป ทั้งนี้ต้องคอยสังเกตว่า ปลากินอาหารอย่างไร? ถ้าอาหารหมดเร็ว แสดงว่าปลายังต้องการอาหารเพิ่ม ก็เพิ่มลงไปอีเล็กน้อย แต่ถ้าอาหารยังลอบน้ำอยู่ ก็รีบตักออกเพราะว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้น้ำเสียเร็ว

           สำหรับอาหารที่ให้ แนะนำเป็นเนื้อปลาป่น กุ้งสดบด เนื้อหอย เนื้อปู ปลาหมึก ข้าวสาลี รำ ผักกาด ข้าวโพด แมลง สาหร่าย ตะใคร่น้ำ แหน ลูกน้ำ หนอนแดง ถั่วเหลือง ขนมปัง และอาหารสำเร็จรูปที่มีขายตามท้องตลาด

           ทั้งนี้ เมื่อสังเกตเห็นน้ำในบ่อเริ่มขุ่นและมีสิ่งสกปรกมาก ต้องรีบเปลี่ยนน้ำทันที และขณะที่ถ่ายน้ำ ออก 1 ใน 3 ส่วนของบ่อจะต้องเพิ่มน้ำใหม่แทนในปริมาณเท่าเดิมโดยใช้น้ำประปาที่เก็บไว้ประมาณ 2-3 วันหลังจากที่คอรีนระเหยแล้ว อย่าใช้น้ำประปาที่รองจากก๊อกใหม่ๆ หรือน้ำประปาที่เก็บไว้นานเพราะจะเกิดอันตรายต่อปลาได้

 โรคและการรักษา

           1.โรคโซโคลกิต้า เกิดจากการถ่ายน้ำในบ่อบ่อยครั้งเกินไป การย้ายปลาบ่อยครั้งเกินไป เชื้อโคลกิต้าที่อยู่ในน้ำจะทำลายปลา ทำให้เกิดเป็นแผลขุ่นที่ผิวหนังและตายไปในที่สุด

           วิธีรักษา : ควรใช้เกลือป่นและด่างทัทิมละลายละลายให้เจือจางลงในน้ำ เพื่อฆ่าเชื้อโซโคลกิต้า ก่อนจะนำไปใช้เลี้ยงปลา สำหรับในรายที่ปลาเป็นโรคนี้ ให้แช่ปลาในน้ำยานี้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง

           2.เหงือกเน่า เกิดจากเชื้อราคอลัม พาริส ทำให้ปลามีอาการซึม และกินอาหารได้น้อยลง ไม่มีแรงว่าย

           วิธีรักษา : ใช้ยาปฏิชีวนะ ออริโอมัยซินผสมกับอาหาร ในอัตราส่วน 1 ช้อนต่ออาหารปลา 1 ขีด ให้ปลากินติดต่อกัน 3-4 วัน และจับปลาที่มีอาการมากในน้ำที่ผสมกับฟูราเนสเป็นเวลา 10 นาทีทุกวัน จนปลามีอาการดีขึ้น

           3.หางและครีบเน่า  เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในน้ำซึ่งเนื่องมาจากปลาขี้และเศษอาหาร ที่ตกค้างอยู่ในบ่อทำให้ครีบและปลายหางหลุดหายไป และจะลามไปทั่วตัว

           วิธีรักษา : ต้องรีบถ่ายน้ำ ทำความสะอาดบ่อโดยเร็วพร้อมกันนั้น ใช้มาลาไคท์กรีนผสมกับน้ำในอัตรา 1 ขีด ต่อน้ำ 1 ลิตร จับปลาแช่ในน้ำดังกล่าวติดต่อกัน 3-4 วัน จนดีขึ้น

           4.เนื้อแหว่ง  เกิดจากปลาได้รับบาดเจ็บเพราะถูกหินหรือต้นไม้ในบ่อ จนเป็นแผลแล้วเชื้อโรคจากน้ำที่สกปรกเกาะตามผิวหนัง ทำให้เกล็ดหลุดแล้วมีจุดขาวๆ ตามลำตัวเกาะติดตามผิวหนัง ทำให้เกิดอาการอักเสบบวมเป็นรอยช้ำเลือด จนตายไปในที่สุด

           วิธีรักษา : ใช้ยาปฏิชีวนะออริโอมัยซิน ผสมกับอาหารในอัตรา 1 ช้อนชา ต่ออาการ 1 ขีด ให้ปลากินติดต่อกันจนหายขาด

           5.เชื้อราบนผิวหนัง  เกิดจากเชื้อราแพร่กระจายบนผิวหนังปลา ทำให้เนื้อปลาเน่าเปื่อย ถ้าไม่รีบเร่งรักษาปลาจะตายเร็ววัน

           วิธีรักษา : นำปลามาแช่ในน้ำที่เจือด้วยเกลือป่นจางเอาสำลีชุบน้ำยาฟูราเนสทำความสะอาด ที่บาดแผลแล้วจับปลาแช่ในน้ำผสมยา ฟูราเนสติดต่อกัน 5-7 วัน จนกว่าปลาจะหายขาด

           6.ผิวหนังขุ่น เกล็ดพอง เกิดจากการที่ให้อาหารที่มีโปรตีนและไขมันมากเกินไป ปลาปรับตัวไม่ทัน จะทำให้ระบบย่อยอาหารของปลาไม่ทำงาน ตามผิวหนังจะเห็นรอยเส้นเลือดขอดขึ้น ผิวหนังเริ่มบวมและอักเสบ

           วิธีรักษา : ต้องแช่ปลาในน้ำเกลือจางๆ และให้กินอาหารผสมด้วยยาปฏิชีวนะออริโอมัยซิน และให้กินอาหารประเภทผักเสริมมากกว่าเดิม

           7.ลำใส้อักเสบ  เกิดจากการที่ปลากินอาหารหมดอายุ มีเชื้อราปนอยู่ในอาหาร อาการเช่นนี้จทำให้ปลาไม่ค่อยกินอาหาร มีมูกเลือดปนออกมากับอุจจาระ บางครั้งจะถ่ายออกมาเป็นน้ำขุ่นๆ

           วิธีรักษา :  ต้องรีบทิ้งอาหารเก่าทั้งหมด เอาปาขึ้นมาแช่น้ำเกลือที่เจือจาง แล้วให้อาหารอ่อนๆ เช่น ลูกไรแดงหรือเนื้อปลาบดอ่อน แล้วค่อยให้อาหารสำเร็จรูปตามปกติ

           8.เห็บ  เกิดจากตัวที่ติดมากับอาหารประเภทผัก ซึ่งขาดการทำความสะอาดอย่างถูกต้อง และติดตัวมากับปลาตัวใหม่ ตัวเห็บนี้มักจะเกาะอยู่ใต้เกล็ดปลา ดูดเลือดปลาเป็นอาหาร ทำให้ปลาว่ายน้ำติดขัดไม่สะดวก ปลาจะเอาตัวถูตามผนังบ่อหรือเศษหินภายในบ่อ จนเกิดบาดแผลในเวลาต่อมา

           วิธีรักษา : ใช้น้ำยามาโซเต็นผสมลงในบ่อเพื่อป้องกัน ทำลายตัวเห็บติดต่อกันราว 2-3 อาทิตย์ แล้วค่อยหยุดใช้ยา

           9.หนอนสมอ ศัตรูร้ายอีกชนิดหนึ่งของปลาคือ หนอนรูปร่างคล้ายสมอ ยาวเหมือนเส้นด้าย มันจะเจาะผนังตัวปลาทำให้ติดเชื้อได้ และตามผิวหนังปลาจะมีรอยสีแดงเป็นจ้ำๆ ครีบและเหงือกจะอักเสบ ปลามีอาการซึมเบื่ออาหาร

           วิธีรักษา : เช่นเดียวกับการรักษาเห็บ กล่าวคือ นำน้ำยามาโซเต็นผสมกับน้ำ จับปลาแช่น้ำยาทุกๆ 3 วัน จนกระทั่งปลามีอาการดีขึ้น และในบ่อเลี้ยงก็ควรหยดน้ำยานี้ลงฆ่าทำลายไข่ตัวหนอนสมอด้วย

           10.พยาธิเส้นด้าย  ติดมาจากอาหาร ลูกน้ำหนอนแดง ที่ปลากินเข้าไป จะเจาะเข้าไปเจริญเติบโตในตัวปลา และออกมาสร้างรังตามผิวหนังใต้เกล็ดปลา ทำให้ผิวหนังปลาแดงช้ำๆ

           วิธีรักษา : ให้นำปลาไปแช่ในน้ำเกลือที่เจือจางประมาณ 1-2 วัน พยาธิก็จะตายและปลามีอาการดีขึ้นและควรใส่น้ำยามาโซเต็นผสมลงในบ่อ เพื่อฆ่าใข่ของมันด้วย

ที่มาhttp://pet.kapook.com/view169.html

การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปลาคาร์พ

การคัดเลือกพันธุ์พันธุ์ปลาคาร์พนั้นจำเป็นต้องมีความพิถีพิถันในการคัดเลือกเพราะมีความสำคัญที่ลูกปลาที่ออกมาจะมีคุณภาพและขายได่ราคาหรือไม่
——————————————————————————–
การเลือกพ่อ-แม่พันธุ์
เมื่อจะเพาะพัันธุ์ปลา ก็คงต้องการให้ปลาที่เกิดมามีสีสดใสสุขภาพดีและรอด
ต้องเริ่มด้วยการเลือกพ่อ-แม่พันธุ์ที่มีคุณภาพดีเยี่ยม โดยดูจากปลาที่มีสุขภาพ
แข็งแรง คล่องแคล่วว่องไว สีสวยและครีบมีลักษณะดี ผู้เชี่ยวชาญบางคน
แนะนำว่าต้องไม่นำปลาkoi ชนิดหลักๆมารวมกันและควรจะเลือกปลาที่มี
สีพื้นสีขาว สีสด และลำตัวตรง คนเลี้ยงปลาที่มีชื่อเสียงบางคน จับคู่ปลาตัวผู้
และตัวเมียอย่างละตัวมาผสมพันธุ์กัน แต่มันยากที่จะเลือกปลาที่มีคุณสมบัติดี
พร้อม สำหรับที่จะใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ ดังนั้นควรเลือกตัวผู้ 3 ตัว และตัวเมีย 1 ตัว ถ้าการจับคู่แรกล้มเหลว ลองเปลี่ยนคู่ผสมพันธุ์ด้วยตัวผู้อีกตัวเมื่อได้เวลาแล้ว นำปลาที่เลือกไปไว้ในบ่อผสมพันธุ์ อุณหภูมิน้ำในบ่อควรจะอยู่ที่ประมาณ 75 องศาฟาเรนไฮด์ ในตอนกลางวัน และอุณหภูมิควรจะลดลงในตอนกลางคืน การเปลี่ยนแปลงนี้เองที่กระตุ้นให้เกิดการผสมพันธุ์
ถ้าจับตาดูปลาให้ดี เราจะเห็นมันเกี้ยวกัน ตัวผู้เริ่มที่จะรังแกตัวเมียเพื่อให้ตัวเมียวางไข่ การเกี้ยวจะเพิ่มขึ้นเมื่อใกล้เวลาที่ตัวเมียจะวางไข่ ไข่จะถูกวางในอุปกรณ์เพาะพันธุ์ ที่ซึ่งกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ในบ่อการผสมพันธุ์และการวางไข่มักเกิดในช่วงเช้า
การย้ายพ่อ-แม่พันธุ์
พ่อ-แม่ปลาอาจจะกินไข่ของตัวเองได้ ดังนั้นจึงต้องย้ายออกจากบ่อ อาจจะย้าย
ไปอีกบ่อที่มีคุณภาพน้ำดีและอุณหภูมิใกล้เคียงกัน หรือ จะย้ายกลับไปที่บ่อก็ได้
ไข่และลูกปลาอาจจะตายเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวลที่จะปกป้องไข่ทุกฟอง
การดูแลรักษาไข่
ไข่ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่คงที่เปลี่ยนแปลงได้ไม่เกิน 5 องศาฟาเรนไฮด์ทั้งกลางวันและกลางคืน ไข่จะตายถ้าอุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงมากในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ไข่จะเริ่มฟักภายใน 4-7 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิน้ำ ซึ่งควรอยู่ที่ประมาณ 68-75 องศาฟาเรนไฮด์ มันไม่แปลกที่เชื้อราจะ
มารบกวนไข่ ดังนั้นอาจต้องเพิ่มสารต้า่นเชื้อราในน้ำ เช่น malachite greenและควรมีความเข้มข้นประมาณ 0.2 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร
หลังจากฟักไข่ ลูกปลาจะหาที่ปลอดภัยโดยสัญชาตญาณ และจะหลบซ่่อนตัวอยู่ในอุปกรณ์เพาะพันธุ์ ลูกปลาสามารถอยู่รอดได้ 2-3 วัน จากอาหารที่ถุงไข่แดง (yolk sacs) หลังจากใช้หมดแล้วก็จะต้องให้อาหารมัน ลูกปลาต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง และระยะตัวอ่อนในช่วง 2-3 วันแรกต้องทำทุกทางที่จะเพิ่มออกซิเจนจำนวนมากให้แก่ลูกปลาในช่วงนี้ และต้องแน่ใจว่ามีการให้ออกซิเจนในน้ำ ควรจะรู้ว่า ต้องให้อาหารลูกปลาได้เมื่อพวกมันเริ่มที่จะว่ายน้ำไปมาในความลึกระดับกลางของน้ำ

การให้อาหารลูกปลาและการคัดลูกปลาออก


การที่ลูกปลาจะสมบูรณ์นั้นขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ของตัวผู้เลี้ยงเป็นสำคัญไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินของลูกปลาและสถานที่เลี้ยงนั้นคับแคบหรือแออัดหรือไม่
——————————————————————————–
การให้อาหารลูกปลา
อาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกปลาคือ สัตว์น้ำที่เล็กมาก เช่น ไรข้ำเค็ม (อาร์ทีเมีย)ที่เพิ่มฟักตัว ลูกปลายังสามารถกินอาหารแห้งที่เป็นชิ้นเล็กๆ ได้ เช่น นมผงไข่แดงต้มสุก และสาหร่าย พวกมันจะกินได้เรื่อยๆ ดังนั้นจะเป็นที่จะต้องให้อาหารมันตลอดทั้งวัน เมื่อมันโตขึ้นควรเพิ่มขนาดของอาหาร โดยดูจากขนาดของปลาตัวที่เล็กที่สุดในบ่อ 3-4 สัปดาห์ ปลาจะยาวประมาณ 0.2-0.4 นิ้ว
ถ้าลูกปลาฟักตัวในถังที่มีขนาดเล็ก ลูกปลาจะฟักตัวจากถุงไข่ที่ติดตัว (yolk sacs) และถุงนี้จะเป็นอาหารในช่วง2-3 วันแรกของการฟักตัว หลังจากนั้นจะต้องให้อาหารลูกปลาด้วยอาหารแห้ง
ขนาดเล็กจำนวนเล็กน้อย ลูกปลาต้องการอาหารบ่อย ถ้าคิดที่จะเป็นคนให้อาหารลูกปลาเอง คุณต้องเตรียมตัวอยู่บ้านกับลูกปลาต้องดูแลเอาเศษอาหารและขยะอื่นๆ ออกจากบ่อเพาะพันธุ์อยู่เรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำสกปรก ซึ่งทำได้โดยการถ่ายน้ำโดยใช้ท่อดูดได้นานเท่าที่คุณหลีก
เลี่ยงการที่จะย้ายลูกปลาออก การที่จะควบคุมการเพิ่มของแอมโมเนียมและเกลือ ต้องเติมน้ำจืดเป็นบางส่วนลงบ่อ อย่าลังเลที่จะใช้อุปกรณ์ทดสอบค่าpH และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำในบ่อฟักตัว
การคัดลูกปลาออก
ลูกปลาจะโตอย่างรวดเร็วและจำได้ลูกปลาหลายพันตัวจากการผสมพันธุ์ครั้งหนึ่ง ในเดือนแรกควรเริ่มคัดลูกปลาออก ซึ่งจะช่วยลดจำนวนปลาที่จะนำมาจัดลำดับ ทำให้สามารถเลือกปลาที่มีคุณภาพดีที่สุด คนเลี้ยงปลามืออาชีพมักจะคัดปลาออกประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ขั้นแรกต้องเอาปลาที่พิการหรืออ่อนแอออกจากกลุ่ม หลังจากนั้นก็คัดออกโดยเลือกจากสีและลวดลาย
เหลือไว้เฉพาะตัวอย่างที่ดี3-4 เดือนแรกของการเพิ่มขึ้นของปลา ต้องเข้มงวดเรื่องการให้อาหารและการคัดปลาออก จนกว่าจะได้ตัวที่มีคุณภาพสูงและยาวหลายนิ้ว หลักการคัดปลาออกขึ้นอยู่กับความคิดส่วนตัวเกี่ยวกับ สี รูปร่างและขนาดของปลาต้องเพิ่มขนาดของบ่อที่ใช้เลี้ยงปลาในขณะที่พวกมันค่อยๆโตขึ้น สามารถนำปลาที่ยังไม่โตเต็มที่ที่ยาวประมาณ 2-3 นิ้ว ไปไว้ในบ่อได้ แต่เรื่องการคัดปลาเป็นเรื่องยากสักหน่อย
ขณะที่ปลา koi เริ่มโตขึ้นพวกมันต้องการอาหารน้อยลง เมื่ออายุ 1 เดือน ปลาkoi ต้องการอาหารคิเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว และควรจะให้ทีละน้อยแต่ค่อนข้างบ่อย เมื่อมันโตขึ้นอีก ลดอาหารให้เลหือ 2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ต้งอเลือกอาหารให้มีขนาดเหมาะสมกับตัวที่เล็กที่สุดในบ่อ จะสังเกตเห็นไดว่าปลา Koi ที่โตเร็วที่สุดมักจะไม่สวยและหน้าตาจะคล้าย
กับปลาคาร์พทั่วไป มันเป็นอย่างนี้เพราะว่าปลา Koi จะสวยกว่าตั้งแต่เกิดและปลา Koi ก็ไม่มีความทนทานเท่าปลาคาร์พในธรรมชาติ
ที่มาhttps://koithai.wordpress.com/

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

ชาวจีนเป็นชาติแรกที่นิยมเลี้ยงปลาทอง โดยปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิมไม่มีความสวยงามมากนัก   มีลักษณะทั่วไปคล้ายปลาไน เพียงแต่ว่ามีสีสันสวยงามและสดกว่าปลาไน   
.
ภาพที่ 1  แสดงลักษณะปลาทองพันธุ์ดั้งเดิม (Wild Type)
                                                ที่มา : Coffey (1977)
               การเลี้ยงปลาทองได้รับความนิยมมากในระหว่างปี พ.. 1243 - 1343   โดยชาวจีนในสมัยนั้นนิยมเลี้ยงปลาทองไว้ในสระน้ำในบริเวณรั้วบ้าน  ต่อมาในปี พ.. 1716 - 1780  มีการนำปลาทองมาเลี้ยงในกรุงปักกิ่ง โดยนิยมเลี้ยงในอ่างกระเบื้องเคลือบ การเลี้ยงปลาทองเพื่อการจำหน่ายจึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มมีการเพาะพันธุ์ปลาทองและได้พันธุ์ปลาแปลกๆมากขึ้น ในปี พ.. 2043 จึงมีการนำปลาทองเข้าไปเลี้ยงในเมืองซาไก ประเทศญี่ปุ่น แต่ได้รับความสนใจมากในปี พ.. 2230 สำหรับประเทศอื่นๆที่มีรายงานเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาทอง ได้แก่
                ปี พ..  2234   ที่ประเทศอังกฤษ
                ปี พ..  2323   ที่ประเทศฝรั่งเศส
                ปี พ..  2419   ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
                สำหรับในประเทศไทยไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าราวปี พ..  1911 - 2031
.
      
ภาพที่ 2  ลักษณะปลาทองที่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ในระยะแรกๆ(Common Goldfish)
                              ที่มา : Bailey and Sandford (2000)    
                Frank (1969)  ได้จัดลำดับชั้นของปลาทองไว้ดังนี้
                Class                       :   Osteichthyes
                  Subclass               :   Teleostei
                    Order                  :   Cypriniformes
                      Suborder           :   Cyprinoidei (Carps)
                        Family             :   Cyprinidae
                          Genus           :   Carassius
                            Species       :   auratus                            
                                                                                                                                  .              
ลักษณะรูปร่างของปลาทอง           
                 ปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบในธรรมชาตินั้น มีรูปร่างคล้ายปลาไนแต่มีขนาดเล็กกว่าปลาไนมาก คือ เป็นปลาที่มีรูปร่างป้อม แบนข้างเล็กน้อย ส่วนหัวลาด ปากมีขนาดเล็ก มีหนวดสั้น 2 คู่ ครีบหลังค่อนข้างยาว ครีบหางเป็นแฉกเว้าลึก ีลำตัวมีสีน้ำตาลคล้ำอมทองหรือสีส้ม ส่วนท้องสีจางกว่าลำตัว หรือสีขาว 
                 เนื่องจากมีการนำปลาทองไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ประกอบกับเป็นปลาที่ผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์กับปลาในกลุ่มเดียวกันชนิดอื่นๆได้ง่าย ทำให้มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาทองชนิดใหม่ๆออกมาหลายชนิด มีลักษณะเด่นสวยงามแตกต่างกันไป ซึ่งลักษณะเด่นๆที่สำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ 
  • ครีบหาง เปลี่ยนแปลงจากหางแฉก หรือหางเดี่ยว เป็น หางพวง หรือหางคู่
  • ครีบก้น  เปลี่ยนแปลงจากครีบเดี่ยว เป็น ครีบคู่
  • ครีบหลัง บางชนิดจะไม่มีครีบหลัง
  • ส่วนหัว บางชนิดจะมีลักษณะที่พองออกเป็นวุ้น
  • ตา  บางชนิดมีกระบอกตาที่โป่งพองออก
 .
   ภาพที่ 3  แสดงส่วนต่างๆและรูปร่างของปลาทอง
.
  
ภาพที่ 4  แสดงลักษณะปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์ใหม่         
                                       ที่มา : Free-pet-wallpapers.com (2012) (ซ้าย)   .    
                                                Bailey and Sandford (2000) (ขวา)           
              จากการที่มีการพัฒนาทางด้านการเพาะพันธุ์   มีการคัดเลือกลักษณะเด่นที่ต้องการ  แล้วนำมาเพาะพันธุ์ต่อมาเรื่อยๆ   ทำให้ได้ปลาทองที่มีลักษณะและสีสันสวยงามหลายแบบด้วยกัน   และมีการตั้งชื่อพันธุ์ต่างๆไว้ดังนี้
                4.1 ปลาทองที่มีหางเดี่ยว   อาจเรียกหางปลาทู  หรือหางแฉก (Fork  Tail)   ลักษณะหางเป็นแผ่นแบนกว้าง   เว้าตรงกลางหรือเป็น  2  แฉก   มีสายพันธุ์ที่นิยม  2  สายพันธุ์   คือ
4.1.1 พันธุ์โคเมท (Comet)   เป็นปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิม   หรือต้นตระกูลของปลาทอง   ลักษณะลำตัวค่อนข้างแบนยาวคล้ายปลาไน   ลำตัวมักมีสีแดง   สีแดงสลับขาว   หรือสีทอง   ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยม
.
    
                              ภาพที่ 5  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์โคเมท
                                            ที่มา : สุรศักดิ์ (2538)  
.
  4.1.2 พันธุ์ชูบุงกิง (Shubunkin)    ลักษณะคล้ายพันธุ์โคเมท   แต่จะมีจุดประที่ลำตัวหลายสี   เช่น  สีแดง  สีขาว  สีม่วง  สีส้ม  และสีดำ   เกล็ดจะค่อนข้างใส   จัดเป็นปลาทองที่สวยงามมากชนิดหนึ่ง   เนื่องจากมีสีเด่นหลายสี   สดใส   ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อนและมีการตั้งชื่อไว้หลายชื่อ  เช่น   Speckled Goldfish ,  Harlequin  Goldfish ,  Vermilion  Goldfish  หรือ  Coronation  fish 
.
      
                               ภาพที่ 6  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ชูบุงกิง
                                             ที่มา : สุรศักดิ์ (2538)  
.
                 4.2 ปลาทองที่มีหางคู่   คือมีส่วนหางแยกออกเป็น  3 - 4  แฉก   มีทั้งที่มีครีบหลังตามปกติ   หรือบางชนิดไม่มีครีบหลัง   มีที่ได้รับความนิยมหลายสายพันธุ์  ดังนี้
4.2.1 พันธุ์ออแรนดา (Oranda) สมัยก่อนมักเรียกฮอลันดา   หรือฮอลันดาหัวแดง   ลักษณะลำตัวค่อนข้างยาว  มีครีบครบทุกครีบ   หางยาว   และมีลักษณะเด่นคือมีวุ้นที่ส่วนหัว (Hood) คล้ายพันธุ์หัวสิงห์   แต่มักไม่ขยายใหญ่เท่าหัวสิงห์   สีของวุ้นมักออกเป็นสีเหลืองส้ม   เป็นปลาทองที่มีขนาดใหญ่   และมีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง   สีของลำตัวมักออกสีขาวเงิน    ชาวญี่ปุ่นเรียก   Oranda Shishigashira
.
ภาพที่ 7  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ออแรนดา
                                                    ที่มา : Free-pet-wallpapers.com (2012) (บน)   
.    
4.2.2 พันธุ์ริวกิ้น (Ryukin  or Veiltail ) ลักษณะเด่น คือ  เป็นพันธุ์ที่มีหางค่อนข้างยาวเป็นพวงสวยงามเป็นพิเศษ  คล้ายริบบิ้นหรือผ้าแพร ทำให้มีชื่อเรียกได้หลายชื่อ คือ  Fringetail ,  Ribbontail ,  Lacetail ,   Muslintail  และ  Japanese  Fantail   ในขณะที่ว่ายน้ำครีบหางจะบานเป็นสง่า ลำตัวค่อนข้างกลมสั้น และมักมีสีแดงสลับขาว บางชนิดอาจมี 5 สี  เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก     
.
ภาพที่ 8  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ริวกิ้น  
                                                      ที่มา สุรศักดิ์ (2538) (ล่าง)
.
4.2.3 พันธุ์ตาโปน (Telescope-eyed  Goldfish) อาจเรียก  Pop-eye  Goldfish ชาวจีนนิยมเรียก  Dragon  Eyes  ชาวญี่ปุ่นเรียก  Aka Demekin ซึ่งแปลว่าตาโปนเช่นกัน ลักษณะเด่นของพันธุ์ คือ ลูกตาจะยื่นโปนออกมามากเหมือนท่อกล้องส่องทางไกล พันธุ์ตาโปนที่นิยมเลี้ยงมี  5 ชนิด คือ
             พันธุ์ตาโปนสีแดง (Red  Telescope-eyed  Goldfish) มีสีแดงตลอดตัว   ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น
.
 
ภาพที่ 9  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตาโปนสีแดงขาว
                                                ที่มา : สุรศักดิ์ (2538) (ซ้าย)
                                                         Pet Goldfish (2010) (ขวา)
               พันธุ์มัว (Moor)   หรือเล่ห์ (Black  Moor  or  Black  Telescope-eye  Goldfish)   เป็นพันธุ์ที่รู้จักดีในประเทศไทยในชื่อ เล่ห์ หรือ ลักเล่ห์  ลักษณะเด่น  คือ  ลำตัวมีสีดำสนิทตลอด  ตาจะไม่โปนมากนัก  ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า  Kuro Demekin
.
          
ภาพที่ 10  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์เล่ห์
.
                  พันธุ์ตาโปนสามสี (Calico  Telescope-eye Goldfish)   รู้จักกันดีในประเทศไทยว่าลักเล่ห์ห้าสี เป็นพันธุ์ที่มีเกล็ดค่อนข้างบาง ลำตัวมีสีสันหลายสีสดเข้มและมักมีเพียง  3 สี แต่สีที่พบในพันธุ์นี้จะมี  5 สี  คือ สีแดง สีขาว สีดำ สีน้ำตาลออกเหลือง และสีแดงออกม่วง  ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า Sanshoku Demekin
.
ภาพที่ 11  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตาโปนสามสี
                                                   ที่มา : Pet Goldfish (2010)       
                   พันธุ์ตาลูกโป่ง (Bubble Eye Goldfish) ลักษณะเด่น คือ มีเบ้าตาพองออกคล้ายลูกโป่งทั้งสองข้าง เวลาว่ายน้ำมักจะแกว่งไปมา ลำตัวมักมีสีขาวหรือเหลืองแกมส้ม มีทั้งที่มีครีบหลังและไม่มีครีบหลัง  
.
ภาพที่ 12  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตาลูกโป่ง
                                                      ที่มา : นายเก๋า (2547)        
                    พันธุ์ตากลับ (Celestial Goldfish)  ลักษณะเด่น คือ ตาที่โปนออกมาจะหงายกลับขึ้นข้างบน ชาวจีนเรียกว่า Shotengan แปลว่าตามุ่งสวรรค์ หรือตาดูฟ้า ต่อมาชาวญี่ปุ่นนำไปเลี้ยงและพัฒนาได้หางสั้นกว่าเดิม เรียก Demeranchu  
.
ภาพที่ 13  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตากลับ
                                                       ที่มา : สุรศักดิ์ (2538)       
.
4.2.4 พันธุ์เกล็ดแก้ว (Pearl  Scale  Goldfish) ลักษณะลำตัวค่อนข้างกลมคล้ายลูกปิงปอง ส่วนหัวเล็กมาก หางยาว ลักษณะเด่น คือ มีเกล็ดนูนขึ้นมาต่างกับเกล็ดธรรมดาทั่วไปอย่างชัดเจน สีของลำตัวมักมีสีขาว สีส้ม และสีทอง     
.
ภาพที่ 14  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้ว
                                                     ที่มา : Pirun.ku.ac.th  
.
4.2.5 พันธุ์หัวสิงห์ (Lionhead  Goldfish  or Ranchu) ลักษณะเด่นของพันธุ์นี้คือ ไม่มีครีบหลัง   หางสั้นและเป็นครีบคู่  ที่สำคัญคือ ส่วนหัวจะมีก้อนวุ้นปกคลุมอยู่ ทำให้มีชื่อเรียกได้อีกหลายชื่อ เช่น  Hooded Goldfish ,  Buffalo-head  Goldfish ส่วนในญี่ปุ่นเรียก Ranchu  ในประเทศไทยเรียกกันโดยทั่วไปว่า หัวสิงห์”  เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน และนิยมจัดประกวดกันเป็นประจำ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อของปลาทอง (King  of  The  Goldfish) มีอยู่หลายชนิดที่นิยมเลี้ยง ได้แก่
                  สิงห์ญี่ปุ่น เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ลักษณะทั่วไปคือ ลำตัวค่อนข้างสั้นและส่วนหลังโค้งมนสวยงาม สีของลำตัวเป็นสีส้มเข้มเหลือบทองต้องตา วุ้นที่ส่วนหัวมีลักษณะเล็กละเอียดขนาดไล่เลี่ยกันและค่อนข้างหนา ครีบหางสั้นและจะยกสูงขึ้นเกือบตั้งฉากกับลำตัว ครีบก้นเป็นครีบคู่มีขนาดเท่ากัน  
.
ภาพที่ 15  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์ญี่ปุ่น
.
                  สิงห์จีน เป็นพันธุ์ต้นตระกูลของหัวสิงห์ กำเนิดในจีน ลำตัวค่อนข้างยาว ส่วนหลังไม่โค้งมากนักหางค่อนข้างยาวอ่อนลู่ หัวค่อนข้างใหญ่และมีวุ้นดกหนากว่าสายพันธุ์อื่น และทางด้านท้ายของวุ้นไม่ขรุขระ   ทำให้มองเหมือนหัวมีขนาดใหญ่กว่าลำตัว สีของลำตัวเป็นสีส้มแกมทองแต่ไม่สดมากนัก  
.
   
ภาพที่ 16  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์จีน
                                                       ที่มา : สุรศักดิ์ (2538) 
.
                   สิงห์หัวแดง สิงห์ตันโจ  ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่น แต่สีของลำตัวเป็นสีขาวเงิน ส่วนหัวและวุ้นจะมีสีแดง
 .
ภาพที่ 17  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์หัวแดง
.
                   สิงห์ตามิด  ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่น แต่สีของลำตัวเป็นสีดำสนิทตลอดลำตัว แม้กระทั่งวุ้นก็เป็นสีดำ วุ้นค่อนข้างดกหนาจนปิดลูกตาแทบมองไม่เห็น 

            
ภาพที่ 18  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์ตามิด
                                                                       ที่มา : Fish949 (2011)      
                   สิงห์ห้าส ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์จีน แต่มีสีบนลำตัว 5 สี คือ สีดำ สีแดง สีขาว สีน้ำเงิน  และสีเหลือง เกล็ดค่อนข้างบางโปร่งใส
.
ภาพที่ 19  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์ห้าสี
                                                      ที่มา : Jesada (2004)
                   สิงห์เงิน  ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์หัวแดง มีสีของลำตัวเป็นสีขาวเงิน แต่ส่วนหัวและวุ้นจะมีสีเงินด้วย
.
ภาพที่ 20  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์เงิน
.
                 สายพันธุ์อื่นๆ  ยังมีปลาทองอีกหลายสายพันธุ์ที่ผลิตขึ้นมาจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเน้นผลิตปลาทองเพื่อการส่งออก และค่อนข้างได้รับความนิยมจากตลาดต่างประเทศ ทำให้มีสายพันธุ์ใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ 
                การศึกษาความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองทำได้ไม่ยากนัก ผู้เลี้ยงปลาโดยทั่วไปจะสามารถแยกเพศปลาทองได้ ผู้ที่ต้องการดำเนินการเพาะพันธุ์ปลาทอง หากเข้าใจวิธีการแยกเพศปลาทองเป็นอย่างดี ก็จะช่วยให้เลือกซื้อหรือจัดเตรียมปลาทองเพศผู้และเพศเมียตามจำนวนที่ต้องการได้
                ความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองนั้น ถ้าจะดูจากลักษณะภายนอกของลำตัวแล้วจะไม่พบความแตกต่างกัน   การแยกเพศจะทำได้ก็ต่อเมื่อปลาสมบูรณ์เพศ คือ เป็นปลาโตเต็มวัยแล้ว ซึ่งต้องเลี้ยงไว้ประมาณ 6 - 8 เดือน   เมื่อปลาสมบูรณ์เพศแล้วปลาเพศผู้จะเกิด ตุ่มสิว (Pearl Organ หรือ Nuptial Tubercles) ซึ่งเป็นตุ่มหรือจุดเล็กๆสีขาว เกิดขึ้นบริเวณก้านครีบอันแรกของครีบอก และบริเวณกระพุ้งแก้ม  ซึ่งถ้าสังเกตุดีๆจะพอเห็นได้ และมักจะเกิดเด่นชัดเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ของปลาทอง แต่ในช่วงนอกฤดูกาลผสมพันธุ์  เช่นในฤดูหนาว หรือปลาไม่มีความพร้อมทางเพศ   ตุ่มสิวนี้จะมีขนาดเล็กสังเกตุได้ยาก แต่ก็สามารถแยกเพศได้โดยการใช้มือลูบเบาๆที่ครีบอก ถ้าเป็นปลาทองเพศผู้จะรู้สึกสากมือเนื่องจากมีตุ่มสิวดังกล่าว แต่ถ้าเป็นปลาเพศเมียจะรู้สึกว่าครีบอกนั้นจะลื่น นอกจากนั้นถ้าปลามีความพร้อมในการผลมพันธุ์ คือปลาเพศเมียมีไข่แก่ และปลาเพศผู้มีน้ำเชื้อสมบูรณ์ ถ้าจับที่บริเวณท้องของเพศเมียจะรู้สึกว่าค่อนข้างนิ่ม และที่ช่องเพศจะขยายตัวนูนสูงขึ้น ส่วนปลาเพศผู้ถ้าลองรีดที่บริเวณท้องลงไปทางช่องเพศจะเห็นว่ามีน้ำเชื้อซึ่งเป็นสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมไหลออกมาเล็กน้อยได้
.
          
 ภาพที่ 21  แสดงบริเวณก้านครีบอันแรกที่จะเกิดตุ่มสิวในปลาทองเพศผู้        
                                       ที่มา : Aquariacentral.com (2010)      
                  ปลาทองจัดว่าเป็นปลาที่ดำเนินการเพาะพันธุ์ได้อย่างง่ายๆ โดยวิธีการเพาะแบบช่วยธรรมชาติ   ปกติปลาทองจะมีการแพร่พันธุ์วางไข่ในตู้กระจกหรือบ่อที่ใช้เลี้ยงอยู่แล้ว ซึ่งมักจะไล่ผสมพันธุ์วางไข่ในตอนเช้าของวันถัดไปหลังจากที่ผู้เลี้ยงมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ให้ แต่ที่ผู้เลี้ยงไม่พบว่ามีลูกปลาทองเกิดขึ้นในตู้เลี้ยงปลา เนื่องจากว่าปลาทองเป็นปลาที่ไข่ทิ้งไม่มีการดูแลรักษาไข่ เมื่อวางไข่แล้วก็จะหวนกลับมากินไข่ของตัวเองอีกด้วย นอกจากนั้นปลาทองตัวอื่นๆหรือปลาชนิดอื่นที่เลี้ยงรวมอยู่ในตู้ด้วย ก็จะคอยเก็บกินไข่ที่ออกมาด้วย   กว่าที่ไข่ที่เหลืออยู่จะฟักตัวออกมา ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 - 3 วัน ไข่ก็จะถูกปลาทยอยเก็บกินไปเกือบหมด   ส่วนไข่ที่รอดจากถูกกินจนตัวอ่อนฟักตัวออกมา ตัวอ่อนที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ก็จะกลายเป็นอาหารที่ดีของปลาต่างๆอีก เพราะลูกปลาจะมีขนาดพอๆกับลูกน้ำ ทำให้ถูกจับกินไปจนหมดอย่างรวดเร็ว
                  ดังนั้นหากต้องการลูกปลาทองก็จำเป็นต้องมีการจัดการการเพาะให้ถูกต้อง จึงจะได้ลูกปลาจำนวนมากตามต้องการ  การเพาะปลาทองจะทำได้ดี คือ ปลาวางไข่ง่าย ตั้งแต่เดือนเมษายน ถึง เดือนกันยายน โดยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
6.1 การเตรียมบ่อเพาะ   บ่อที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลาทองควรเป็นบ่อซีเมนต์  มีขนาดประมาณ 1 ตารางเมตร  ขัดล้างให้สะอาดด้วยแปรงและสบู่แล้วฉีดน้ำล้างหลายๆครั้ง จากนั้นเตรียมน้ำใหม่ที่ระดับประมาณ 20 - 25 เซนติเมตร นอกจากนั้นยังอาจใช้กะละมังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 เซนติเมตร เป็นบ่อเพาะปลาทองก็ได้
.
ภาพที่ 22  แสดงการใช้กะละมังเป็นบ่อเพาะปลาทอง
.
6.2 การเตรียมรัง   ปลาทองเป็นปลาที่มีไข่ประเภทไข่ติด พฤติกรรมการวางไข่นั้นปลาเพศผู้จะว่ายน้ำไล่ปลาเพศเมียไปเรื่อยๆ ปลาเพศเมียเมื่อพร้อมจะวางไข่จะว่ายน้ำเข้าหาพรรณไม้น้ำตามริมน้ำ แล้วปล่อยไข่ครั้งละ 10 - 20 ฟองปลาเพศผู้ที่ว่ายน้ำตามมาก็จะปล่อยน้ำเชื้อตาม ไข่จะได้รับการผสมพร้อมกันนั้นก็เกิดสารเหนียวที่เปลือกไข่ ทำให้ไข่เกาะติดอยู่ตามราก ลำต้น และใบของพรรณไม้น้ำ ดังนั้นการเตรียมรังในบ่อเพาะปลาทอง ควรเป็นรังที่ช่วยให้ไข่ติดได้ง่ายและมากที่สุด คือต้องมีลักษณะเป็นฝอยนิ่มและค่อนข้างยาว รังที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่รังที่ทำจากเชือกฟางโดยนำเชือกฟางสีใดก็ได้มาผูกเป็นกระจุก(คล้ายกับพู่ที่เชียร์ลีดเดอร์ใช้มีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร   แล้วฉีกให้เป็นฝอยโดยพยายามให้เป็นเส้นฝอยขนาดเล็กให้มากที่สุด จากนั้นนำไปจุ่มในน้ำเดือดเพื่อให้เกิดความนุ่ม แล้วทำกรอบไม้ (อาจใช้ท่อ เอสล่อน)ให้ลอยอยู่ผิวน้ำ ขนาดเล็กกว่าบ่อเพาะเล็กน้อยเพื่อให้กรอบลอยอยู่บนผิวน้ำในบ่อได้ดีนำรังมาผูกในกรอบไม้เพื่อให้รังลอยตัว และรังจะกระจายตัวกัน หากไม่ทำกรอบผูกรัง รังจะถูกแรงลมที่เกิดจากเครื่องแอร์ปั๊ม ทำให้รังลอยไปรวมเป็นกระจุกอยู่ริมบ่อ ปลาจะวางไข่ที่รังได้ยาก การทำให้รังกระจายตัวกัน ช่วยให้ปลาสามารถวางไข่โดยกระจายไข่ตามรังที่จัดไว้ทุกรังได้เป็นอย่างดี
.
ภาพที่ 23  แสดงลักษณะพู่ทำจากเชือกฟางและรากผักตบชวาที่นำมาใช้เป็นรังในบ่อเพาะปลาทอง
.
6.3 การเตรียมพ่อแม่พันธุ์  คือการเลี้ยงและคัดปลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์จากปลาที่เลี้ยงไว้รวมกัน โดยจะต้องเน้นเป็นปลาที่มีไข่แก่และน้ำเชื้อดี การที่จะเลี้ยงปลาทองให้มีไข่แก่และน้ำเชื้อได้ดีนั้นเป็นเรื่องไม่ยาก จากที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าการเลี้ยงปลาสวยงามเป็นการเลี้ยงปลาที่มีคุณภาพน้ำดีกว่าการเลี้ยงปลาแบบอื่นๆ เนื่องจากมีระบบกรองน้ำที่ดี ในสภาพน้ำที่ค่อนข้างดีปลาจะใช้อาหารที่ได้รับไปสำหรับการเจริญเติบโต ส่วนการพัฒนาของระบบสืบพันธุ์จะเป็นไปอย่างช้าๆ เมื่อใดที่คุณภาพน้ำเริ่มมีการสะสมของสิ่งหมักหมมต่างๆมากขึ้น ปลาที่สมบูรณ์เพศแล้วจะเริ่มมีการพัฒนาระบบสืบพันธุ์มากขึ้นเปรียบเทียบได้กับฤดูร้อนซึ่งน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติจะลดระดับลงเรื่อยๆน้ำจะมีการสะสมแร่ธาตุต่างๆมากขึ้น ปลาจะใช้อาหารที่ได้รับเพื่อการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อการแพร่พันธุ์ในฤดูฝนที่จะมาถึง ดังนั้นการเลี้ยงปลาทองเพื่อให้ปลามีไข่แก่และน้ำเชื้อดีแทบทุกตัวพร้อมกัน จึงต้องอาศัยการเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุด คือ การปรับปรุงระบบเครื่องกรองน้ำ โดยเปลี่ยนมาใช้เครื่องกรองน้ำแบบหม้อกรองในตู้ ซึ่งช่วยทำให้น้ำใสได้บ้างพอควรและเก็บตะกอนไว้ได้ด้วย ล้างหม้อกรองประมาณ 3 วัน ต่อครั้ง และงดการเปลี่ยนถ่ายน้ำในตู้ปลาหรือบ่อเลี้ยงปลาโดยเด็ดขาด หากจำเป็นต้องเติมน้ำเนื่องจากระดับน้ำลดลง ควรเติมในช่วงเช้า เพราะการเติมน้ำในตอนเย็นซึ่งอุณหภูมิเริ่มลดลง และปลาได้รับน้ำใหม่อาจมีผลกระตุ้นให้ปลาไข่แก่บางตัววางไข่ในเช้าวันถัดไปได้ พ่อแม่พันธุ์ปลาทองที่จะนำมาใช้เพาะพันธุ์ควรมีอายุประมาณ 10 เดือน นำมาเลี้ยงรวมกันเป็นเวลาประมาณ 30 - 50 วัน ปลาทองที่คัดมาเลี้ยงแทบทุกตัวจะมีไข่แก่และน้ำเชื้อสมบูรณ์เหมือนกันแทบทุกตัว ทำให้สะดวกที่จะคัดไปปล่อยลงบ่อเพาะ และควรคัดไปปล่อยเวลาประมาณ 16.00 .
                ข้อควรพิจารณาในการเตรียมพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง ควรหลีกเลี่ยงปลาในครอกเดียวกันเพื่อป้องกันการผสมเลือดชิด
.
ภาพที่ 24  พ่อแม่พันธุ์ปลาทองในบ่อเลี้ยง  
.
6.4 จำนวนปลาและสัดส่วนเพศ  การปล่อยปลาลงบ่อเพาะแต่ละบ่อควรปล่อยปลาเพียงบ่อละ  1 คู่ หรือใช้ปลาเพศเมีย 1 ตัว กับปลาเพศผู้ 2 ตัว เนื่องจากการใช้ปลามากกว่า 1 คู่ นั้น ในขณะที่ปลาเพศเมียตัวที่พร้อมจะวางไข่ถูกปลาเพศผู้ว่ายน้ำไล่ไปนั้น จะถูกปลาตัวอื่นๆคอยรบกวนโดยว่ายน้ำติดตามกันไปหมดทุกตัว เพราะปลาเหล่านั้นต้องการตามไปกินไข่ของแม่ปลาที่จะปล่อยออกมา การปล่อยปลาหลายคู่จึงกลับกลายเป็นข้อเสีย ดังนั้นการปล่อยปลาเพียงบ่อละคู่จะทำให้ไข่มีอัตราการผสมค่อนข้างดี และได้จำนวนมาก  

 
ภาพที่ 25  ลักษณะของพ่อแม่ปลาทองที่คัดปล่อยลงบ่อเพาะ
.
6.5 การเพิ่มน้ำและลม  หากต้องการให้ปลาได้รับการกระตุ้นและเกิดการวางไข่อย่างแน่นอน ควรจะมีการให้ลมเพื่อให้น้ำเกิดการหมุนเวียนแรงพอสมควร นอกจากนั้นถ้าหากสามารถทำให้เกิดกระแสน้ำ หรือทำให้เกิดฝนเทียม ก็จะทำให้ปลาวางไข่ได้ง่ายขึ้น ฉนั้นบ่อเพาะที่ดีจะต้องมีระบบน้ำล้นที่ดีด้วย
6.6 การวางไข่ของปลา  ถ้าหากคัดปลาได้ดี คือ ปลามีไข่แก่และน้ำเชื้อดี ปลาจะผสมพันธุ์วางไข่ตอนรุ่งเช้าของวันถัดไป หากปลายังไม่วางไข่จะปล่อยพ่อแม่ปลาไว้อีก 1 คืน แต่ถ้าเช้าวันถัดไปปลาก็ยังไม่วางไข่  แสดงว่าผู้เพาะคัดปลาไม่ถูกต้อง คือปลาเพศเมียที่คัดมาเพาะมีรังไข่ยังไม่แก่จัดพอที่จะวางไข่ได้ จะต้องปล่อยพ่อแม่ปลาที่คัดมาเพาะกลับคืนลงบ่อเลี้ยง แต่ถ้าปลาวางไข่จะสังเกตได้ว่าน้ำในบ่อเพาะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป โดยมักจะเกิดเมือกเป็นฟองตามผิวน้ำและรัง เมื่อพิจารณาที่รังจะเห็นว่ามีไข่ปลาทอง มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆสีเหลืองอ่อนค่อนข้างใส เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 มิลลิเมตร ติดอยู่ตามเส้นเชือกภายในรัง เม็ดไข่ที่ดูใสนี้แสดงว่าเป็นไข่ที่ได้รับการผสมหรือไข่ดีและจะมีเม็ดไข่ที่สีขุ่นขาวซึ่งเป็นไข่ที่ไม่ได้รับการผสมหรือเป็นไข่เสีย
.
ภาพที่ 26  แสดงลักษณะไข่ปลาทองที่ติดอยู่ที่รากผักตบชวา      
                                                          ไข่ดีจะใส ส่วนไข่เสียจะสีขุ่นขาว
                เมื่อประสบผลสำเร็จในการเพาะปลาทองหรือสามารถทำให้ปลาทองวางไข่ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการฟักไข่ ซึ่งอาจใช้บ่อเพาะเป็นบ่อฟักไข่ได้เลย โดยการช้อนเอาพ่อแม่ปลาออก จากนั้นเพิ่มระดับน้ำเป็น 30 - 40เซนติเมตร  เปิดแอร์ปั๊มเพื่อให้ออกซิเจนและเกิดการหมุนเวียนน้ำตลอดเวลา และถ้าสามารถเพิ่มน้ำใหม่ทำให้มีการระบายน้ำด้วย จะช่วยไล่ความคาวที่เกิดขึ้นระหว่างการพัฒนาของไข่ออกไปเรื่อยๆ จะทำให้ไข่ปลาทองฟักตัวได้ดีไม่ค่อยมีการติดเชื้อ แต่ต้องใส่ผ้ากรองกันไว้ที่ทางออกของท่อน้ำล้น  เพื่อกันลูกปลาที่ฟักตัวออกจากไข่ไม่ให้ไหลไปตามน้ำ  แม่ปลา 1 ตัวจะสามารถวางไข่ได้ครั้งละ  1,000 - 3,000 ฟอง ไข่จะใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 48 - 56ชั่วโมง (2 - 3  วัน)  ลูกปลาที่ฟักตัวออกจากไข่แล้วมักจะเกาะอยู่ที่รัง  หรือว่ายน้ำออกไปเกาะอยู่ที่ผนังบ่อ  รอจนเช้าวันที่ 4 หลังจากที่ปลาวางไข่จึงค่อยๆเขย่ารังเพื่อไล่ลูกปลาออกจากรัง แล้วปลดรังออก
.
ภาพที่ 27  ลักษณะของลูกปลาทองที่ฟักออกจากไข่แต่ยังมีถุงอาหารอยู่  ยังไม่ว่ายน้ำจะเกาะอยู่ที่ผนัง 
                                                              
                บ่อที่จะใช้สำหรับอนุบาลลูกปลาทองควรเป็นบ่อซีเมนต์ ขนาด 4 - 10 ตารางเมตร มีความลึกประมาณ 40 - 50 เซนติเมตร  เป็นบ่อที่สามารถถ่ายเทน้ำได้อย่างดี โดยเฉพาะถ้าสามารถปรับระบบน้ำไหลได้จะทำให้ลูกปลามีความแข็งแรงมาก เจริญเติบโตรวดเร็วและมีอัตรารอดดี เพราะการระบายน้ำจะช่วยระบายของเสียหรือสิ่งขับถ่ายของลูกปลาออกไปได้เป็นอย่างดี ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกปลาเติบโตเร็วก็คือ การระบายน้ำและการเปลี่ยนถ่ายน้ำเป็นประจำทุกวัน 
                การเลี้ยงลูกปลาทองหรือการอนุบาลจำเป็นต้องอาศัยสังเกตุเป็นหลัก การจะกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนกระทำได้ยาก เริ่มจากลูกปลาที่ฟักออกจากไข่ ในช่วงแรกจะมีถุงอาหาร (Yolk Sac) ติดอยู่ที่หน้าท้อง ลูกปลาจะยังไม่กินอาหาร สังเกตุได้จากการที่ลูกปลาจะเกาะอยู่ที่รังหรือผนังบ่อ เมื่อลูกปลาใช้อาหารจากถุงอาหารหมดแล้วลูกปลาจึงจะว่ายน้ำตามแนวระดับไปเรื่อยๆเพื่อหาอาหารกิน ควรดำเนินการให้อาหารดังนี้
8.1 ช่วงแรก   เนื่องจากปลาทองเป็นปลาที่กินอาหารได้แทบทุกชนิด จัดว่าเป็นปลาที่กินอาหารได้ง่าย จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาหารที่มีชีวิตในการอนุบาลลูกปลาทอง การอนุบาลลูกปลาทองเลือกใช้อาหารได้ดังนี้
               ไข่ต้ม  ใช้ไข่ไก่หรือไข่เป็ดต้มสุก แล้วเอาเฉพาะไข่แดงไปขยี้น้ำผ่านผ้าไนล่อนหรือกระชอน จะได้น้ำไข่แดงเหมือนน้ำตะกอน นำไปสาดให้ปลากิน ควรใช้ไข่แดงเลี้ยงลูกปลาเป็นเวลา 3 วัน ลูกปลาจะเคยชินกับการกินอาหารและกินอาหารเก่ง ขนาดของลูกปลาก็จะโตขึ้นอย่างเด่นชัด
.
ภาพที่ 28  ลักษณะของลูกปลาทองที่ยังไม่ได้กินอาหาร (ซ้าย)
                                               กับที่ได้กินไข่ต้มแล้วที่ส่วนท้องจะมีสีขาว (ขวา)  
.
ภาพที่ 29  แสดงการใช้ไข่แดง
ขยี้ผ่านผ้าขาวบางเพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงลูกปลาทอง  

.
                 อาหารผง ใช้อาหารผงอนุบาลลูกปลาดุก ใช้ให้ต่อจากการใช้ไข่ต้มได้เลย โดยในช่วงแรกควรให้โดยโปรยลงบนผิวน้ำ อาหารจะค่อยๆจมตัวลง เลี้ยงต่อไปอีกประมาณ 5 วัน  จากนั้นควรเปลี่ยนวิธีให้จากการโปรยอาหารลงผิวน้ำ เป็นนำอาหารผงมาคลุกน้ำพอหมาดๆ   อาหารพวกนี้จะมีคุณสมบัติในการปั้นก้อนได้ดี แล้วจึงนำไปให้ปลา ลูกปลาก็จะมาตอดกินอาหารได้เอง
                สำหรับในเรื่องของปริมาณอาหารที่จะให้ปลานั้น เนื่องจากลูกปลามีขนาดเล็กมากการกำหนดปริมาณอาหารเป็นจำนวนตายตัวนั้นค่อนข้างยาก เช่นการใช้ไข่แดง ปริมาณที่จะให้แต่ละมื้อจะใช้ประมาณเท่าเมล็ดถั่วแดงต่อลูกปลาที่เกิดจากแม่ปลา 1 แม่  ผู้เลี้ยงต้องอาศัยการสังเกตและการเอาใจใส่ค่อนข้างมาก การให้อาหารมากเกินไปจะทำให้น้ำเน่าเสีย ลูกปลาจะยิ่งเติบโตช้าและมักจะติดเชื้อเกิดโรคระบาดตายเกือบหมด แต่ถ้าน้อยเกินไปลูกปลาก็จะโตช้าและมักจะมีขนาดแตกต่างกันอย่างมาก โดยจะมีลูกปลาขนาดโตไม่กี่ตัว วิธีการกะปริมาณอาหารที่ดีคือ ผู้เลี้ยงจะต้องดูจากตัวลูกปลาภายหลังจากที่ให้อาหารไปแล้วประมาณ 15 - 20 นาที ใช้แก้วน้ำตักลูกปลาขึ้นมาดู ถ้าเป็นช่วงที่ให้ไข่แดงเป็นอาหาร จะเห็นว่าที่บริเวณท้องของลูกปลาจะมีสีขาว ถ้าเป็นอาหารผงท้องจะเป็นแนวดำ ดังนั้นถ้าเห็นว่าลูกปลาทุกตัวมีอาหารที่บริเวณท้องเป็นแนวยาวตลอด ก็แสดงว่าอาหารพอ แต่ถ้าเห็นว่าลูกปลาบางส่วนมีอาหารที่ท้องอยู่น้อยก็แสดงว่าอาหารไม่เพียงพอ ควรให้อาหารเพิ่มอีก
                หมายเหตุ ช่วงนี้ควรให้อาหารวันละ 3 ครั้ง  คือ เช้า กลางวัน และเย็น
8.2 ช่วงหลัง   ถึงแม้ลูกปลาจะกินอาหารผงได้ดี แต่อาหารผงก็มีข้อเสียที่มักมีการแตกตัวและกระจายตัวได้ง่าย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของน้ำเสีย ดังนั้นเมื่ออนุบาลลูกปลาในช่วงแรกด้วยไข่และอาหารผง เป็นเวลาประมาณ  15 วัน   ก็ควรจะเปลี่ยนมาเป็นอาหารเม็ดลอยน้ำโดยใช้อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงลูกปลาดุกเล็กระยะแรก ให้ลูกปลาได้เลยจะเห็นว่าอาหารจะลอยตัวอยู่ผิวน้ำ จากนั้นประมาณ 15 - 20 นาที อาหารจะพองขยายตัวขึ้นและนิ่ม ในวันแรกลูกปลาจะยังไม่เคยชินกับอาหารลอยน้ำ ฉนั้นให้ใช้นิ้วบีบอาหารที่ลอยอยู่บางส่วนให้จมตัวลง และมีอาหารลอยน้ำเหลืออยู่บ้าง ทำเช่นนี้ประมาณ  3 วัน ลูกปลาจะเคยชินกับการกินอาหารเม็ดลอยน้ำได้ดี     
            ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญ  คือ การทำความสะอาดบ่ออนุบาล โดยเฉพาะในการอนุบาลช่วงแรก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไข่แดงหรืออาหารผงให้เป็นอาหารลูกปลา ทั้งไข่แดงและอาหารผงจะเหลือตกตะกอนเป็นเมือกอยู่ที่พื้นก้นบ่อเป็นประจำทุกวัน ดังนั้นหลังจากให้อาหารเช้าแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง ควรทำความสะอาดผนังและพื้นก้นบ่อ โดยใช้ฟองน้ำค่อยๆลูบไปตามผนังและพื้นก้นบ่อให้ทั่ว ถ้าเป็นบ่อที่มีระบบกรองที่ดี ตะกอนเมือกที่ถูกขัดออกมาก็จะถูกขจัดออกได้โดยง่าย  
.
ภาพที่ 30  แสดงลักษณะบ่อดินขนาด 400- 500 ตารางเมตร ที่ใช้อนุบาลลูกปลาทอง
                                                                                                                               
                    เป็นการเลี้ยงเพื่อให้ปลาทองมีขนาดใหญ่เหมาะสมที่จะส่งตลาดต่อไป บ่อเลี้ยงปลาทองควรเป็นบ่อซีเมนต์ มีขนาด 2 - 4 ตารางเมตร และควรมีจำนวนหลายบ่อ หากต้องการให้ ปลาเจริญเติบโตเร็วจะต้องจำกัดจำนวนปลาที่ปล่อยเลี้ยง โดยปล่อยในอัตรา 50 ตัวต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร ควรทยอยคัดปลาจากบ่ออนุบาลมาปล่อยลงบ่อเลี้ยง จากนั้นเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดประมาณ 40 - 60 วันปลาจะเติบโตจนสามารถส่งจำหน่ายได้ เมื่อส่งปลาออกจำหน่ายแล้วก็ทยอยคัดปลาจากบ่ออนุบาลมาปล่อยเลี้ยงอีกต่อไป สำหรับลูกปลาที่เหลืออยู่ในบ่ออนุบาลซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะมีการให้อาหารดีและมีการถ่ายน้ำสม่ำเสมอ ลูกปลาก็จะเจริญเติบโตขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากจำนวนปลาเป็นข้อจำกัด แต่เมื่อถูกกระจายออกไปยังบ่อเลี้ยงก็จะสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้
            ปัจจุบันมีการอนุบาลและเลี้ยงปลาทองในบ่อดิน  โดยใช้บ่อขนาด 100 - 200 ตารางเมตร
.
ตัวอย่างฟาร์ปลาทองที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี มีบ่อซิเมนต์ 487 บ่อ ในพื้นที่ 2 ไร่
ปลาสิงห์ญี่ปุ่นเกรดเอ รอจำหน่ายอุปกรณ์ในการล้างบ่อ
เติมด่างทับทิมฆ่าเชื้อป้องกันโรคบ่อดินสำหรับอนุบาลลูกปลา
 ภาพที่ 31  ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาทองที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
.
 ภาพที่ 32  ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาทองในประเทศจีน มีการจัดทัวร์ชมฟาร์ม 
                                           ที่มา : Vermilliongoldfishclub.com (2006)                          
 . 
 
 ภาพที่ 33  ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาทอง( Siamaquarium )ในประเทศไทย 
                                             ที่มา : Siamaquarium.com (2010)        

ที่มาhttp://home.kku.ac.th/pracha/Goldfish.htm