ปอมปาดัวร์
นายสงวน วิระยะมนตรี ประธานชมรมปลาปอมปาดัวร์แห่งสยาม กล่าวถึงถินกำเนิดของปอมปาดัวร์ ว่า ต้นกำเนิดของปลาปอมปาดัวร์อยู่ลุ่มแม่น้ำอะเมซอน แถวประเทศบราซิล เปรู เอกวาดอร์ ซึ่งปอมปาดัวร์จะมีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน เมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่แล้วทางเยอรมัน หรืออเมริกาเป็นผู้บุกเบิกนำเข้าไปเลี้ยง เพื่อเป็นปลาสวยงาม ส่วนเมืองไทยนั้นยังไม่ทราบแน่นอนว่าใครนำเข้ามา ทว่าเมื่อประมาณ 50 กว่าปีที่แล้ว ได้มีการนำเข้ามาในประเทศ และมีการพัฒนามาเรื่อยๆ จากเลี้ยงเพื่อเป็นปลาสวยงาม จนกลายเป็นปลาเพื่อการส่งออก
จุดเด่นของปอมปาดัวร์ เป็นปลาที่ไม่ดุร้าย มีมากมายหลายสีสัน สามารถเลี้ยงรวมกับปลาอื่นๆ หรือต้นไม้น้ำได้ ปัจจุบันเป็นปลาที่มีการจัดประกวดหรือแข่งขันระดับอินเตอร์ จนถือว่าเป็นราชินีของปลาสวยงาม เพราะมีหลากหลายสี อีกทั้งปลาปอมปาดัวร์สามารถพัฒนาลวดลายสีสันต่างๆ ไปได้ตลอด นอกจากนี้คนที่มีฐานะจะเลี้ยงไว้เพื่อประดับบารมีอีกด้วย
ราคาเริ่มต้น มีตั้งแต่หลักสิบถึงหลักแสน ซึ่งจะจัดแบ่งตามเกรดและสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พัฒนายากๆ และสินค้ามีน้อยจะมีราคาแพง การเพราะเลี้ยงในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอยู่หลากหลายประเทศ เพราะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะอากาศเหมาะในการเพาะพันธุ์ อีกทั้งมีพื้นที่และศักยภาพที่จะแข่งขันกัน แต่ละประเทศอาจจะมีจุดเด่นเฉพาะของตนเอง บางส่วนเราสู้ไม่ได้จึงต้องมีการซื้อสายพันธุ์อื่นเข้ามาเพื่อพัฒนา ส่วนสายพันธุ์ที่ดีของเราก็มีคนมาขอซื้อเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ต่อเช่นกัน
“ปอมปาดัวร์เป็นปลาที่ไม่ดุร้ายมีมากมายหลายสีสัน สามารถเลี้ยงรวมกับปลาอื่นๆ หรือต้นไม้น้ำได้” กระแสปอมปาดัวร์เริ่มบูมในประเทศไทยเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เพราะกรมประมงกับผู้เลี้ยงทั่วไปได้ร่วมมือกันในการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิมีการจัดประกวด การสัมมนาแล้วส่งเสริมด้านการเพาะขยายพันธุ์ต่างๆ คนจึงเริ่มรู้จักปลาปอมปาดัวร์มากขึ้น
มูลค่าตลาดของปอมปาดัวร์เมื่อเทียบกับปลาสวยงามอื่นๆ ปอมปาดัวร์มีสัดส่วนส่งออกถึง 80-90% ของการส่งออกทั้งหมด เพราะฉะนั้นตลาดภายใจจะน้อย จุดด้อยของบ้านเรามองว่า ความรู้ข้อมูลต่างๆ ไม่ได้มีการส่งเสริมอย่างจริงจังเหมือนต่างประเทศเราไม่มีข้อมูลเด่นชัดให้กับผู้ที่ต้องการเลี้ยงจริงๆ คนเลี้ยงปลาเข้าใจว่าปอมปาดัวร์เลี้ยงยากและมีราคาแพง เพราะฉะนั้นปลาที่ทำตามฟาร์มต่างๆ จะทำเพื่อส่งออกมากกว่า ซึ่งน้อยมากที่ขายในตลาดบ้านเราและเป็นปลาเกรดไม่ถึงและราคาถูกหน่อย ลูก 1 ครอก เฉลี่ยประมาณ 100 – 200 ตัวเท่านั้นในจำนวนนี้ทำเป็นการค้าได้ประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนมากถ้าพ่อแม่สวยลูกก็มักออกมาสวยสูงมาก แต่ก็ไม่เสมอไปบางครั้งมีเชื้อปูยาตายายสู่รุ่นหลายด้วย
ปลาปอมปาดัวร์อาจจะเป็นปลาไวต่อความรู้สึกมากกว่าปลาอื่นๆ คือมีความรู้สึกรับความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิกับน้ำได้เร็ว ดังนั้นอุณหภูมิที่เหมาะสมประมาณ 25-28 องศาเซลเซียส ส่วนลูกปลาอยู่ที่ประมาณ 28-32 องศาเซลเซียส ด้านอุปนิสัย เป็นปลาสง่างาม ว่ายแล้วไม่ดุร้าย หลากหลายสี อยู่เป็นฝูง ส่วนเรื่องนี้ตกใจขึ้นอยู่กับคนเลี้ยงมากกว่า
โรคของปอมป์ เหมือนปลาทั่วๆ ไปคือ หนอนสมอ ปลิงใส แบคทีเรียภายนอกและภายใน พยาธิลำไส้ใบไม้ แบคทีเรียภายนอกและภายใน พยาธิลำไส้ใบไม้ตัวกลม การป้องกันและรักษา ปัจจุบันนี้ไม่ยากเหมือนสมัยก่อนๆ เพราะมีหน่วยงานราชการหลายแห่งที่เกษตรกรสามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือได้เอกชนก็ผลิตยาออกมาสนองความต้องการของผู้บริโภคส่วนโรคใหม่ๆ ไม่ค่อยมี เพราะเกษตรกรมีการกักกันโรคประมาณ 7 วันแต่ปัญหาอยู่ที่ภาครัฐไม่มีหน่วยงานด้านกักกันโรคปลา เมื่อมีปลาการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงอยู่เหมือนกัน ส่วนในต่างประเทศเมื่อมีการนำเข้าปลาจากไทยก็จะมีการกักกันโรค แต่ประเทศไทยทำแล้วก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะไม่มีการถ่ายน้ำทำให้ปลาตายหมดได้
สายพันธุ์ที่นิยม อย่างที่บอกว่าปอมปาดัวร์มีหลายสายพันธุ์ เช่นมาเลเซียมีเสือดาวจุดแดง บ้านเรามีสีทอง สีแดง ลายงูสีแดงและยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมา ส่วนการประชาสัมพันธ์ปลาก็คืองานออกบูธ งานประกวดต่างๆ ผู้บริโภครู้จักว่าปลาปอมปาดัวร์ของไทยมีชื่อเสียงมีคุณภาพ แต่ไม่ได้ราคาเพราะบ้านเราคนทำคือเกษตรกรไม่ใช้นักการตลาด
ที่มาhttp://articlescool.org/%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%8C/